หมายเหตุ
วันนี้
ต้องใช้บทความเก่าที่เขียนเอาไว้ มาใช้ใหม่
จำได้ว่าเขียนตอนเดินทางไป
สหรัฐอเมริกา เมื่อต้นปี
มีอยู่เช้าหนึ่ง
ตื่นมาทำวัตร ปกติ
จิต
ตอนนั้นมันไปสะดุด เรื่อง เจตสิก ๓ ตัว
ดังนี้
ครับ ...
ตอนที่สวดวัตรเช้า
วันนี้
ไปนึกถึง
“สังขาร” (เจตสิก – ตัวปรุง) ๓ ตัว คือ ...
เจตนา
๑, สติ ๑, และ ตัตตรมัชฌัตตา ๑
ที่เรียนรู้มา
กรรมทั้งหลาย ที่แสดงออกด้วย กาย วาจา
ล้วนมาแต่
“เจตนา” ทั้งสิ้น ...
พระพุทธองค์
จึงตรัสว่า “เจตนานั้นแหละ คือ กรรม”
“
...เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ
เจตฺยิตฺวา กมฺมํ กโรติ
กาเยน วาจาย มนสา จ ...”
“ภิกษุทั้งหลาย
เราขอกล่าว เจตนา เป็นกรรม
เมื่อมีเจตนาแล้ว
บุคคลย่อมทำกรรม
โดยทางกาย
ทางวาจา และ ทางใจ”
ขณะที่
“ทางโลก” เห็นว่า “คิด” เฉยๆ ไม่ผิด
ถ้าไม่ก้าวล่วงออกมาเป็น
กายกรรม วจีกรรม
ฉะนั้น
เราต้องเห็นว่า ในทางพระพุทธธรรม
การสำรวมระวัง
(สังวร) นั้นสำคัญมาก
หากต้องการให้
“บริสุทธิ” แท้ๆ ต้องรวม “จิต”
คือ
เจตนา นี้เข้าไปด้วย (เจตนา เป็นเจตสิกธรรม)
แล้วมาเกี่ยวอะไรกับประเด็นที่จะเขียนนี่
...
คือผู้ศึกษา
ก็ทราบดีว่า ในทางพุทธธรรมนั้น
พระพุทธองค์สอนให้ปฏิบัติเพื่อ
“ความหลุดพ้น”
คือพ้นจากโลก
หรือ โลกียะ เข้าสู่ โลกุตตร
การ
“ทำดี” จึงไม่ใช่คำตอบสูงสุด เพราะ กรรม นั้น
จะดี
จะชั่ว ย่อมเกิด “วิบาก” ของกรรม
การระมัดระวังมิให้จิต
ไฝ่ไปทั้งในทางดี ทางชั่ว จึงสำคัญ
ประเด็นมันก็คือว่า
การที่จะทำให้จิต สงบ ระงับ สำรวม
มันก็ต้องใช้เจตสิก
ตัวที่ชื่อ “สติ” และต้องระวัง “เจตนา”
ทั้งไม่ให้
“คิดดี” และ “คิดไม่ดี”
แล้วจะให้คิดอะไรล่ะ?
เลยนึกถึงเจตสิกตัวที่ชื่อ
“ตัตตรมัชฌัตตา” คือเป็นกลางๆ
“กลาง” อีกแล้ว ?
อันนี้
ผมก็พิจารณาเอาเอง เป็นเรื่อง “ธมฺมวิจยโพชฺฌงค”
คือการ
“วิจัยธรรม” ...
มาถึงตรงนี้
ก็เป็นเรื่องแต่ละบุคคล ล่ะครับ มิอาจก้าวล่วง
แต่ผม
ก็พิจารณาของกระผม เช่นนี้
ผิด-ถูก
ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ก็พอจะรู้เองว่าใช่ “ทาง” หรือไม่
ถ้า
(คิดว่า) “ใช่” ก็เดินต่อ, ถ้า “ไม่ใช่” ก็พิจารณาธรรมใหม่
คิดเองว่า
การก้าวเดินไปบนทางที่จะสู่การพ้นไปจากโลก ...
โลกในที่นี่
ความหมายคือ “สังขารโลก” นะครับ
คือ
ต้องคิดให้พ้น “กรอบของภูมิ” ทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็น
“กาม”, “รูป”, หรือแม้แต่ “อรูป”
มันไม่ง่าย
แต่มันต้องเดิน ถ้ามุ่งมั่นที่จะ “พ้น” ไปจริงๆ
ก็ค่อยๆ
เดินไปครับ สำหรับคนที่ยัง “ติด” อยู่กับ “โลก”
เช่นกระผม
...
ดีกว่าเก่ามากครับ
เมื่อก่อน
“สติ” มันไม่มีเอาเสียเลย
เดี๋ยวนี้
นับว่ามันช่วย “ยั้ง” ได้เยอะ มันก็เพลิน
อยากให้มัน
“ยั้ง” ได้นานขึ้น ได้บ่อยครั้งขึ้น
ก็เพิ่งเริ่มฝึกไม่นาน
ได้แค่นี้ ก็พอใจที่ได้ฝึก
ฝึกไปไม่หยุด
เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ สะสม เพิ่มพูนไปเอง
เอาล่ะครับ
ชักจะยาว เดี๋ยวหาลานจอดไม่ได้
ก็ถือเสียว่า
แบ่งปันความคิดเห็นกันนะ ขอรับ
ขอความเจริญในพุทธธรรม
จงประสบแก่ท่านทั้งหลาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น