เมื่อ
๒-๓ วันก่อน มีเพื่อนธรรมท่านหนึ่ง ตั้งปุจฉา...
“ตั้งสติ
ก่อนตาย จะได้ไหม?” ทำนองนี้ ...
ถ้าเรียนพุทธธรรม
... จะรู้และเข้าใจได้ว่า
พระอภิธรรมนี้
ถือเป็น ปรมัตถ์ คือความจริงที่สุด
ผู้ที่เรียนรู้ไว้
ย่อมได้เปรียบ ย่อมมี “แผนที่” ชี้ทาง
จิต
(ร่วมเจตสิก) ต้อง รู้ (และปรุง) อารมณ์ เสมอ
คราวใดที่ไม่มี
อารมณ์ใหม่ มากระทบ
มันจะทำหน้าที่
รักษาภวังค์ คือ องค์แห่งภพ
ให้ชีวิต
ยังดำรงอยู่ต่อไป จนกว่าจะตาย
จิต
กับ เจตสิก รู้ และปรุง อารมณ์ ใน “วิถีปกติ”
คือขณะที่ชีวิตสัตว์
ดำเนินอยู่ มีอารมณ์มากระทบ
จิต-เจตสิก
มันก็รับ รู้ ปรุง อารมณ์ ไปตามนั้น
แล้วจึงให้
กาย วาจา ใจ “สร้างกรรม” ... ไม่จบสิ้น
แต่
... มันยังมี “อารมณ์พิเศษ” ที่อยู่ “เหนือวิถี”
เป็น
อารมณ์พิเศษ ที่จะมาตอนใกล้จบชีวิตสัตว์
เป็น
“วิถีมุตตารมณ์” – อารมณ์ที่เหนือ วิถี
จะบังคับ
ไม่ให้มันเกิด ก็ไม่ได้ ... มันต้อง เกิด
ก่อนจิตสุดท้าย ดับ (ในภพ-ชาติ นั้น)
อ้าว
... แล้ว “สติ” จะไม่ช่วยคุมจิตให้เผชิญ
กับอารมณ์พิเศษนี้
ได้อย่างมั่นคงเลยหรือ?
แล้วที่บอกว่า
ฝึกสติ ทำความดี แล้วจะ
“ไม่หลงทำกาละ”
คือจะไม่หลงตอนตาย น่ะ...
มันก็ไม่เป็นจริงน่ะซี
...
ขอทำความเข้าใจ
เป็นความเห็นจากการเรียนรู้ ...
(ความเห็น
เป็นความเสี่ยง – ต่อการเข้าใจ –
โปรดใช้พิจารณาญาณในการฟัง และอ่าน)
สติ
– การฝึกสติ เป็นเรื่องที่ดี
ที่ควรสรรเสริญ
เพราะมันจะความคุมจิต
พิจารณาอารมณ์ได้ดี
“สติ”
มันเป็น โสภณเจตสิก – เจตสิกฝ่ายกุศล
แต่
... เมื่อถึง จุติจิต (จิตสุดท้าย)
“สติ”
ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวเลย ไม่ได้ช่วยในการ
“คุม”
อารมณ์
ที่จะมานี้เลย เพราะมันเป็น “อารมณ์พิเศษ”
ก่อนจะไปบทสรุป
... ต้องดูปัจจัยตัวอื่นๆ ด้วยครับ
(เรียกว่าดูแบบ
“บูรณาการ” ไม่ใช่ “เฉพาะจุด”)
เรื่องแรก
กรรม ตามที่ท่านก็รู้ดีอยู่ว่า ...
กมฺมุนา
วตฺตติ โลโก ...
สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม
กมฺมทายาโท
กมฺมโยนิ ...
เป็นทายาทของกรรม
มีกรรมเป็นกำเนิด
ฉะนั้น
กรรม นี่แหละ พาไปหา “ภพ” “ชาติ”
กรรมไหน
พาไปล่ะ? มันเยอะ หลายกรรมเหลือเกิน
ก็ต้องเรียนรู้เรื่อง
“ปากทาน” ลำดับการให้ผลของกรรม
๑. ครุกรรม
กรรมหนัก – ย่อมส่งผลก่อน แน่นอน
๒. อาสันนกรรม
กรรมที่ทำใกล้ตาย – ยังระลึกถึงได้ง่าย
๓. อาจิณณกรรม
กรรมที่ทำบ่อย – ที่ว่า ไปที่ชอบที่ชอบไง
๔. กฏัตตากรรม
กรรมเล็กกรรมน้อย – ส่งผลทีหลังสุด
ต้องเรียนรู้เรื่อง
“ปากกาล” กำหนดเวลาให้ผลของกรรม
๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม
– สนองผลในชาติปัจจุบันนี้เลย
๒. อุปปัชชเวทนียกรรม
– สนองผลในชาติที่ ๒ (ชาติหน้า)
๓. อปราปริยเวทนียกรรม
– สนองผลชาติที่ ๓ เป็นต้นไป
๔. อโหสิกรรม
– กรรมที่ไม่สนองผล
พอค่อยปะติดปะต่อไหมครับ?
ที่จริง
มันก็มีปัจจัยอื่น อีกมากมาย ... แต่เอาตรงนี้ก่อน
เอาส่วนของ
ปากทาน บวกเข้ากับ ส่วน ปากกาล
กรรมหนัก-เบา
เข้ากับ ช่วงเวลาการสนองผล
ทีนี้
ตอนใกล้ตาย ท่านเรียกชื่อว่า “มรณาสันนวิถี”
มันมีข้อความที่น่าสนใจ
ดังนี้ ...
“... วิถีจิตสุดท้ายที่สัตว์จะถึงแก่มรณะ
เรียกว่า
มรณาสันนวิถี เมื่อสุดมรณาสันนวิถี
จุติจิต ก็เกิดขึ้นแน่นอน
สัตว์ก็ถึงแก่ มรณะ
จุติจิต เป็นจิตดวงสุดท้าย
ของ ภพนั้น ชาตินั้น
ในกาลแห่งสัตว์อันใกล้มรณะนั้น
จะมีอารมณ์
อันมีชื่อเรียกพิเศษโดยเฉพาะ ว่า ...
กรรมอารมณ์
กรรมนิมิตอารมณ์ หรือ คตินิมิตอารมณ์
อย่างใดอย่างหนึ่งมาปรากฏแก่
ชวนะจิต ในมรณาสันนวิถี
อารมณ์นี้จะต้องเกิดทั่ว
ทุกคน ทุกตัวสัตว์
๓
อารมณ์ที่ว่านี้แหละเป็นตัวกำหนด “คติ” ที่จะไป
จะว่าไปแล้ว (ผมคิดส่วนตัว ว่า...)
มันเป็นเรื่อง จิต “บันทึก” อารมณ์ ครับ
ถ้าเป็น
ครุกรรม ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าคน ฆ่าสัตว์
มันก็
บันทึก ฝังแน่นในจิต ส่วนที่เป็น อกุศล
ถ้าเป็นครุกรรม
ได้เข้าบรรพชา ศึกษา-ปฏิบัติธรรม
มันก็
บันทึก ฝังในจิต ส่วนที่เป็น กุศล
ถ้าไม่มีส่วนที่เป็น
ครุกรรม กรรมหนัก ทั้ง กุศล อกุศล
อาสันนกรรม
ที่ทำตอนใกล้ตาย จิต มันจะยังพัวพันอยู่
หรือ
อาจิณณกรรม อยู่ในโรงฆ่าสัตว์ ฆ่าทั้งวัน แบบนี้
ก็จะเป็น กรรม ถัดๆ ไป ที่จะส่งผล
นี่แหละครับ
จิต มัน “บันทึก” แล้วมันจะมาปรากฎ
เป็น
อารมณ์ ๓ ที่อยู่ “เหนือวิถี” ... คุมไม่ได้หรอก
ไม่มี
“สติ” อยู่แล้ว ในขณะนั้น (จะตายอยู่แล้ว)
อ้าว
แล้ว “สติ” มันมาช่วยเราได้ตอนไหนล่ะ?
มันก็ช่วยทุกครั้งที่มีต่ออ ารมณ์ ที่อยู่ “ในวิถี”
ที่เราต้องประสบ
มี “ผัสสะ” กับอารมณ์ทุกชนิด
ทุกเมื่อ
เชื่อวัน ...
อะไร
ดี ก็แสดงว่า ทำด้วยมีสติ
อะไรไม่ดี
ก็แสดงว่า ทำตอน ขาดสติ
แต่ในทุกขณะ
... จิต มัน “บันทึก” นะครับ
"สติ" นี่มันเป็น ๑ ในโสภณเจตสิก (ตัวดี) ๒๕ ตัว
สติ มันจะเกิดเฉพาะ กับ "กุศลกรรม" เท่านั้นครับ
อ้าว
ไหนบอกว่า จิต เกิด-ดับ เกิด-ดับ
แล้วมันบันทึกอย่างไรล่ะ? มัน “ดับ” ไปแล้วนี่
งั้นขอถาม
...
เทียนไขติดไฟแล้ว ... เอาเทียนอีกเล่ม
มาจุดไฟต่อ
... เทียนเล่มใหม่ มี “ไฟ” ของ
เทียนเล่มเก่ามาด้วยไหม?
... ปริศนาธรรม
และ อย่าลืมนะครับ
ว่า ...
๒
ใน ๖ คุณลักษณะที่ วิจิตร ของจิต คือ ..
“วิจิตรในการสั่งสม
กรรม และ กิเลส” ๑
“วิจิตรในการรักษาไว้ซึ่ง
วิบาก
ที่กรรม และ กิเลส ได้สั่งสม” ๑
และ
... พระพุทธองค์ ตรัสเรื่อง อจินไตย ๔
๑
ในนั้น ก็คือ วิปากวิสัย ... คือ
วิสัยของ
กรรม และ วิบาก ... อย่าไปสงสัยใคร่รู้
เกรงว่า
จะเป็น “บ้า” ไปนะครับ
จบ
(ไม่ห้วน นะครับ และเชื่อว่า ได้ใจความ ครับ)
ขอความเจริญในพุทธธรรม
จงประสบแก่ท่านทั้งหลาย
ขยันอ่าน
ขยันศึกษา หา “แผนที่” ติดตัว นะครับ
ตอนนี้ยังไม่แก่กล้าพอ
... อย่าเพิ่ง “ทิ้งธรรม” เลย ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น