สองทุ่มครึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมา
มีรุ่นพี่ที่สนใจ
ท่านมีคำถามเกี่ยวกับโพสท์ที่เขียนไป
เรื่อง
ปฏิจฺจสมุปปาท ... ในส่วนที่
เป็นปัจจัยแก่กัน
ได้สนทนาน้อย
(ผ่านทาง messaging บน face)
ปกติ
สองทุ่มครึ่ง ก็ต้องนอนแล้ว เพราะต้องตื่นก่อนเช้า
เลยขอมาตอบ
วันนี้ ...
ที่จริง
... ก็ได้ศึกษามาจาก พระอภิธัมมัตถสังคหะ
ปริจเฉทที่
๘ ปจฺจยสงฺคห คือ ว่าด้วย “ปัจจัย”
ปัจจัย
อะไร? ...
ปัจจัยให้เกิด
“ปรมัตถ์ธรรม” คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน
บทนี้แหละครับ
เป็น ที่มาของ ปรมัตถ์ธรรม ทั้งปวง
วันนี้
ว่ายาวนิดหนึ่งล่ะครับ เพราะไม่ใช่เรื่องง่าย
และไม่ใช่เรื่องที่จะเอามา
“อ้าง” กันเล่นๆ
ไม่สนใจ
บาลี ก็ข้ามไปอ่านเฉพาะ ภาษาไทย ได้ครับ
เทฺว ปฏิจฺจสมุปฺปาท- ปฏฺฐานนยเภทิโน
วุตฺตา ตตฺถ นยาโหนฺติ เยหิ ปจฺจยสงฺคโห
ปัจจัยยสังคหะนี้
แสดงธรรมตามที่ตั้งอยู่แล้ว ๒ นัย
ต่างกันโดย
ปฏิจฺจสมุปฺปาทนัย และ ปัฏฐานนัย
นัยแห่งปัฏฐาน
มี ๒๔
ตามที่สวดกันบทสุดท้ายของพระอภิธรรม
ที่ใช้สวดในงานจัดการเกี่ยวกับ
ศพ นั่นแหละครับ
เริ่มจาก
... เหตุปัจจโย (เหตุ ๖ เป็นปัจจัย) ...
อารัมณปัจจโย
(อารมณ์ ๖ เป็น ปัจจัย) ... เรื่อยไป
ปัฏฐาน
ยังแยกละเอียดออกไปอีก รวม ๔๗ ปัจจัย
เมื่อคำถามมีเฉพาะ
ติดใจตรงที่ ...
อวิชชา
สังขาร วิญญาณ นามรูป
มันเป็นปัจจัย
แก่กันและกันอย่างไร?
ขอแยก
“อวิชชา” ไว้ต่างหากก่อนนะครับ
ไอ้อันนี้มันเป็นตัว
“หลง” เป็น กิเลส
สังขาร
นี้คือ “ปรุงแต่ง”
อะไรเป็นตัว
ปรุงแต่ง?
ก็
“เจตสิก” ๕๒ ตัว นั่นแหละ ปรุงแต่ง
ปรุงแต่งให้ทำไม?
ก็ให้ดี
เป็น ปุญญาภิสังขาร
ให้ชั่ว
เป็น อปุญญาภิสังขาร
ให้ตั้งอยู่ในอุเปกขา
ก็เป็น อเนญชาภิสังขาร
อีกอย่างหนึ่ง
มันปรุงจิต ให้คิด (มโนกรรม)
แล้วกระทำออกทาง
กาย (กายกรรม) วาจา (วจีกรรม)
คือแต่งให้
มโน กาย วาจา เป็น สุจริต หรือ ทุจริต ครับ
“วิญญาณ”
นั้นก็คือ จิตทั้งหมด ๙๘ หรือ ๑๒๑
รวมกับ
เจตสิก ไอ้ตัวปรุงที่ว่าไปแล้ว นั่นด้วย ๕๒
(ค่อยๆ
ทำความเข้าใจครับ มันเยอะ มันไม่ง่าย)
“นามรูป”
ล่ะ?
“นาม”
ในปฏิจจสมุปปาทนี้ นับเอาเฉพาะ เจตสิก ล้วน
ส่วน
“รูป” คือรูปที่มีในสัตว์ (รูป ๒๘)
อ่านมานานแล้ว
มันสับสน ดูมั่วไปหมด
ไม่เข้าใจ
ความเป็น “ปัจจัย” ของกันและกันอย่างไร
ตรงนี้
จริงๆ ให้นึกเพียง จิต – เจตสิก พอครับ
เหมือน
ไก่ – ไข่ มานั่งถียงกันอะไรเกิดก่อน – หลัง
คงไม่ต้องคืบหน้าไปไหนแน่
...
จิต
นี่ มันทำหน้าที่เพียง “รู้” อารมณ์
เจตสิก
มันก็ทำหน้าที่ ปรุงแต่ง อารมณ์
“อารมณ์”
อะไร ???
ตอนนี้แหละครับ
ไอ้ตัวที่ชื่อ “สฬายตนะ” มันมาเกี่ยว
อายตนะ
มันเป็น “แดนติดต่อ” ในกาย มี ๖ นอกกายมี ๖
ตา
ติดต่อ รูป, หู ติดต่อ เสียง, จมูก ติดต่อ กลิ่น
ลิ้น
ติดต่อ รส, กาย ติดต่อ สิ่งที่มาสัมผัส
ใจ
ติดต่อ กับ สิ่ง (ธรรม) ที่ตรึกตรอง นึกคิด
คำที่ว่า
“ติดต่อ” ก็คือ “ผัสสะ” หรือ สัมผัสกัน ต้องกัน
เมื่อถึงตรงนี้
ขอทวน (เว้น อวิชชา ไว้ก่อนนะครับ)
“สังขาร
>
วิญญาณ > นามรูป > สฬายตนะ > ผัสสะ”
ผัสสะ
เมื่อกระทบกัน ย่อมเกิด “เวทนา ๕” คือ
ทุกขเวทนา
(เจ็บกาย) สุขเวทนา (สบายกาย)
โทมนัสเวทนา
(เสียใจ) โสมนัสเวทนา (ดีใจ)
อทุกขมสุข
(อุเบกขา ไม่ทุกข์ ไม่สุข)
แล้วอย่างไร?
...
พระพุทธองค์ท่านก็ว่า
เวทนานี้ เป็นปัจจัยแห่ง “ตัณหา ๓”
คือ
กามตัณหา (ความอยาก ความติดใจ ในกามคุณทั้ง ๕
คือ
สี เสียง กลิ่น รส สิ่งต้องสัมผัส)
ภวตัณหา
(ความพอใจ ติดใจ ต้องการอยู่ในภาวะนั้นๆ)
วิภวตัณหา
(ความไม่อยากอยู่ ในภาวะนั้นๆ)
เมื่อตัณหา
คือความอยาก มันกล้าแข็งมากเข้า
ก็จะยึดติด
เป็น “อุปาทาน” (ก็คือตัณหาที่แรงกล้านั่นเอง)
อุปาทาน
ตัวนี้แหละ ที่จะผลักดันให้ “จิต” คิด และ ทำ
ออกมาเป็น
มโนกรรม กายกรรม วจีกรรม
จะดี
จะชั่ว ก็อยู่ที่ กรรม นี้แหละ
ท่านเรียก
ขั้นตอนนี้ว่า “ภพ”
“ภพ”
มันมี ๒ คือ ...
กรรมภพ
ก็คือ การกระทำด้วย ใจ กาย และ วาจา
อุปัติภพ ก็คือ ผลที่ส่งให้ไปอยู่ใน “ภพ”
ที่ได้ทำกรรมนั้นไว้
และ
อุปัติภพ นี้แหละ เป็น ปัจจัยให้เกิด ชาติ (การเกิด)
อ้าว
... “อวิชชา” ตัวสำคัญ หายไปไหน ???
ก็อวิชชานี้แหละ
เป็นตัวไม่รู้ เมื่อไม่รู้ ก็ปรุงแต่ง
จาก
สังขาร ลากยาวมาถึง ชาติ ชรา มรณะ
และในระหว่างที่
“อยู่” หลังจาก เกิด (ชาติ) แล้ว
หากยังเต็มไปด้วย
“อวิชชา” อยู่ ก็วนเข้า loop เดิม
ผู้ที่เข้าใจในปฏิจฺจสมุปปาท
จึงเข้าใจเรื่อง
อดีตเหตุ
– ปัจจุบันผล
ครั้นเกิดมาปัจจุบัน
ไปสร้าง “เหตุ” อีก ก็ต้องได้ อนาคตผล
พระพุทธองค์ท่านจึงว่า
... วัฏฏสังสารนี้ ยาวนานนัก
ไม่มีต้น
ไม่มีปลาย ด้วยเหตุที่ “สัตว์” เวียนว่าย
ไม่มีใครเป็น
“ผู้สร้าง” มีแต่ วัฏฏะ ๓ คือ
กิเลสวัฏฏ์
ให้เกิด กรรมวัฏฏ์ ส่งผลให้ วิปากวัฏฏ์
แล้วต้องวนเวียนอยู่เช่นนี้หรือ
สัตว์ทั้งหลาย?
ไม่หรอก
... หากมี “วิชชา” แทนที่ “อวิชชา”
อ้าว
... แล้วจะหา “วิชชา” ได้จากไหนล่ะ?
พระพุทธองค์
ท่านกล่าวถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง
คือ
ภัพพบุคคล – อภัพพบุคคล
ไม่อธิบาย
ณ ที่นี้ ... หาความรู้เอาเองครับ
และจะเป็นคำตอบ
ในทำนองเดียวกันว่า
หากขวนขวาย
พยายาม หาความรู้ เกี่ยวกับ “วิชชา”
ใยจะไม่ได้
...
โอกาสมีมากแล้ว
ที่ ...
ได้เกิดมาเป็น มนุษย์
ได้เกิดมาเป็น มนุษย์
ได้อยู่ใน
บวรพุทธศาสนา
ได้พบ
พระพุทธศาสนา
จะทำตัวเรื่อยเปื่อย
สุขนิยม
หรือจะหาทางออกจากวัฏฏสังสารนี้
... ปัจจัตตัง ล่ะครับผม
ไม่รู้อธิบาย
ให้ความกระจ่างกับพี่ “สุทธิ์” ได้มาก-น้อย แค่ไหน
แต่อยากให้พี่สุทธิ์
อ่าน ปริจเฉทที่ ๘ ในส่วนแรก
(ปฏิจฺจสมุปปาท)
ต่อให้จบนะครับพี่ ...
ตอนนี้
เกษียณแล้ว มีโอกาส มีเวลา ถามหา google ได้ครับผม
ขอความเจริญในพุทธธรรม
ประสบแด่ท่านทุกคนครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น