วันเสาร์, กรกฎาคม 19, 2557

นิทาน

ขึ้นชื่อนิทาน ก็คงไม่ใช่เรื่องจริง
แต่อาจเป็นคำบอกเล่า ที่มีเค้าโครงความจริง
แล้วนำมาขยายต่อ เป็นเหมือน “นิทานพื้นบ้าน”
ก็คงไม่ต่างจาก นิทานเซน นิทานอีสป ทำนองนั้น

นิทานมักเป็นเรื่อง “สอนใจ” นั่นคือมี ธรรม ในตัว
และมักลงท้ายด้วย ... “เรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า ...”
ที่สำคัญ นิทาน จะเน้นเรื่อง metaphor การเปรียบเทียบ

เช่นนิทาน เรื่องที่จะเล่า ...
พระธุดงค์ ๒ ท่าน มีอายุท่านหนึ่ง อีกท่านหนึ่งยังหนุ่ม
ปฏิบัติธุดงคกิจ ในพื้นที่ทุรกันดารเป็นป่าเขา
เดินธุดงค์มา จนได้พบสตรีนางหนึ่ง นอนสลบอยู่
มีบาดแผล ไม่ทราบเกิดจากอะไร
















เมื่อตรวจดูก็ทราบว่า ยังมีลมหายใจ มีชีวิตอยู่
พระหนุ่ม ได้แต่มองแล้วก็ลังเล ด้วยต้องรักษาปาฏิโมกข์

พระผู้ใหญ่ แม้มีอายุ แต่ร่างกายท่านกำยำ แข็งแรง
ก็ยกนางไว้บนบ่า แบกไปจนถึงหมู่บ้าน
ฝากบอกให้ผู้คนช่วยรักษา แล้วเดินธุดงค์ต่อ ...

เรื่องควรมีแค่นั้น ... แต่
ด้วยความไม่สบายใจ เมื่อสิ้นสุดการธุดงค์
พระหนุ่มก็นำความ แจ้งต่อหลวงพ่อผู้เป็นเจ้าอาวาส
จึงจัดให้เรียกประชุมสงฆ์ในวัดเพื่อชำระความ

เรื่องนี้ พระผู้ใหญ่ผู้ออกธุดงค์ ร่วมยังไม่ทราบ
จนถึงเวลาประชุม ถูกเรียกตัวไป
พระหนุ่ม ท่านก็กล่าวโจทย์ ว่าพระผู้ใหญ่ละเมิดศีล
ถูกเนื้อ ต้องตัว สตรีเพศ ผิดปาฏิโมกข์อันควรรักษา

เมื่อท่านเจ้าอาวาส หันมาถาม ก็ยอมรับความจริง
แล้วเอ่ยขึ้นว่า ... “กระผม “วาง” ไว้ที่หมู่บ้านใกล้ๆ
ไปนานแล้ว ... มิทราบ ใยท่านจึงแบกกลับมาที่วัด? ...”

ความเป็นจริงก็คือ การแสดงเมตตาต่อ “สัตว์”
ของพระผู้ใหญ่ท่านนั้น มิได้พิจารณาถึง
ความเป็น อิตถีเพศ เป็น มาตุคาม
แต่เป็น “สัตว์” ที่ได้รับความบาดเจ็บ และหมดสติ

“กรุณา” จึงเป็น ธรรม ที่ท่านแสดงต่อ “สัตว์
เมื่อยังมีกำลัง เมื่อหวังจะพาไปถึงผู้คนให้ช่วยได้
จึงมิต้องพักพิจารณา ลังเลอื่นใด นอกจาก เมตตากรุณา
ที่พึงมีต่อ “สัตว์” ผู้ตกทุกข์

ประโยคสุดท้ายที่ท่านกล่าวในที่ประชุมสงฆ์
ชัดเจนถึง สภาวะแห่ง “จิต” ที่รู้ และปล่อยวาง
ใยจะต้อง “แบก” กลับมาอีก

เมื่อโลกเต็มไปด้วยความ “หวาดระแวง”
อิจฉา ริษยา ชิงดีชิงเด่น กล่าวร้าย ไร้น้ำใจต่อกัน
มันจะเป็นโลกแห่งความสงบ สุข ได้อย่างไร?

นิทานเรื่องนี้ แม้ไม่ต้อง “สอน” ก็ “รู้ว่า” ....

พระพุทธองค์ท่านกล่าวไว้ ...
   เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ
   เจตฺยิตฺวา กมฺมํ กโรติ
   กาเยน วาจาย มนสา

ถอดความได้ว่า ...
   ภิกษุทั้งหลาย เราขอกล่าวว่า
   “เจตนา” นั่นแหละ เป็นกรรม
   เมื่อมีเจตนาแล้ว บุคคลย่อมทำกรรม
   โดยทางกาย ทางวาจา และทางใจ ...

ขอความเจริญในพุทธธรรม จงมีแก่ท่านทั้งหลาย

ไม่มีความคิดเห็น: