วันจันทร์, กรกฎาคม 07, 2557

ระลึกไปในกาย - กายคตาสติ

เมื่อเดือน กันยายน ๒๕๕๕ ได้ไปเยี่ยมชม
พิพิธภัณฑ์ร่างกายมนุษย์ ...
ที่ คณะทัตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ

ตอนนั้น ไม่เสียค่าเข้าชม
ปัจจุบัน ทางคณะทันตแพทย์ จุฬาฯ
คงเปิดพิพิธภัณฑ์มนุษย์นี้ เป็นการถาวรแล้ว
และคงมีการเก็บค่าเข้าชม เพื่อเป็นค่าบำรุง

โครงร่างส่วนใหญ่ได้จากร่างศพของชาวจีน
นำมาดำเนินกระบวนการ plastination ที่ญี่ปุ่น
คือใช้สารโคโพลีเมอร์ เข้ามาแทนที่ น้ำและไขมัน
ลงลึกในเนื้อเยื่อของมนุษย์  ให้มีสภาพคงทน











ในนิทรรศการนั้น
มีการแยกส่วนที่เป็นแบบ whole body
แสดงลักษณะต่างๆ เช่น กล้ามเนื้อ
สรีระส่วน อกและช่องท้อง ระบบสืบพันธุ์ ฯลฯ

และชนิดที่เป็น whole body ของทารกในครรภ์
ตั้งแต่ ๔ เดือน ถึง ๑๐ เดือน ขนาดต่างๆ

มีแบบ sectional whole body คือนำร่างกาย
มาตัดตามแนวขวาง (horizontal) ทั้งตัว แยกส่วน
ตั้งแต่ ศรีษะ ลำตัว ส่วนแขน ส่วนขา
แล้วก็มีแบบ ตัดตามแนวดิ่ง (vertical) ของกาย

นอกจากนั้นก็เป็นชิ้นส่วนอวัยวะภายใน
ตับ ไต ปอด หัวใจ กระเพาะอาหาร ฯลฯ

ที่ผมสนใจ ก็คือ แสดงระบบทางเดินอาหาร
จากทวารคือ ปาก ผ่านกระเพาะ สู่ตับ ไต
ลำไส้ เล็ก-ใหญ่ จนออกทวารหนัก
คือ...อยากรู้ มันเดินทางอย่างไร?

ผมขอแนะนำให้ท่านทั้งหลาย
ให้ความสนใจ และไปเยี่ยมชมกันนะครับ
เชื่อว่ายังคงเปิดทำการอยู่ ...



















ตรงนี้ ... ทำให้ นึกถึง
พระสัพพัญญุตาญาณ ของพระพุทธองค์
ที่ท่านระบุรายละเอียด ภายในกายมนุษย์
ที่เรามักพูดถึงกันก็คือ “อาการครบ ๓๒”
ซึ่งเป็น “ส่วนประกอบ” แห่งรูปกาย
มีส่วนที่เป็น ปฐวีธาตุ (ธาตุดิน) ๒๐
ส่วนที่เป็น อาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) ๑๒

ที่จริง ถ้านับ เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) อีก ๔
และ วาโยธาตุ (ธาตุลม) อีก ๖
ก็รวมอาการครบ ๔๒ ไม่ใช่แค่ ๓๒
และครบ มหาธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม

พระพุทธองค์ท่านต้องการให้รู้จักพิจารณากาย
ที่เรียกว่า “กายาคตาสติ”

เพื่ออะไรหรือ?
อันแรกก็พิจารณาความเป็น “ปฏิกูล”
ล้วนเป็น อสุภ (ไม่สวย ไม่งาม)
เพื่อกำจัด สุภวิปลาส คือความไปหลงผิดว่าสวย ว่างาม

ต่อมาก็เรื่อง อนิจฺจํ คือมันไม่เที่ยง
มันเต็มไปด้วยเหตุแห่งโรคาพาธ
เต็มไปด้วยหมู่ “กิมิชาติ” หรือ หนอนในกาย

ท้ายสุด ก็เป็นไปตามพุทธวจนะ อันเป็นสัจจะว่า
อจิรํ วตยํ กาโย          –  กายนี้ไม่จีรัง ไม่เที่ยง
ปฐวึ อธิเสสฺสติ           –  ที่สุด จักนอนถมทับแผ่นดิน
ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญาโณ  –  เมื่อวิญญาณ (จิต) ไปจากร่าง
นิรตฺถํว กลิงฺครํ           –  ก็มีสภาพไม่ต่างจากท่อนฟืน

ถ้าคิดว่า ตายแล้วไม่เกิดอีก ก็แล้วไป
ถ้าคิดว่า ตายแล้วได้เกิดเป็นมนุษย์อีก ก็แล้วไป
แต่ถ้าคิดว่า ตายแล้ว ต้องเกิดแน่ ... และ
ตายแล้ว ไม่แน่ว่าจะกลับมาเกิดเป็นคนอีก
ก็ต้องไปหาคำตอบเอาว่า จะทำอย่างไรดี?

แต่ที่สำคัญ ที่น่าพิจารณามากที่สุด ก็คือ
ไม่เกิดอีกเลยนี่ จะดีกว่าไหม?
เพราะ “ชาติ” (การเกิด) ย่อมนำมาซึ่ง
ชรา มรณะ โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
ก็ที่ทุกข์หนักกันทุกวันนี้ ไม่เพราะ “เกิด” หรือ?

ขอความเจริญในพุทธธรรม จงมีแก่ทุกท่าน

ท้ายเรื่อง : ธาตุ ๔ อาการ ๔๒
ธาตุดิน ๒๐
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง 
เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม 
หัวใจ ตับ ผังผืด ไต ปอด 
ใส้น้อย ใส้ใหญ่ อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง
ธาตุน้ำ ๑๒
น้ำดี เสมหะ น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น
น้ำตา มันเปลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร
ธาตุไฟ ๔
ไฟอุ่นร่างกาย (อุสมาเตโช)
ไฟย่อยอาหร (ปาจกเตโช)
ไฟผลาญรูปกายให้เหี่ยวแห่ง เฒ่าชรา (ชิรณเตโช)
ไฟทำให้ป่วยไข้ (สันตาปนเตโช) มาเป็นครั้งคราว
ธาตุลม ๖
ลมพัดขึ้นบน (อุทธังคะมะวาโย)
ลมพัดลงล่าง (อะโธคะมะวาโย)
ลมในช่องท้อง (กุจฉิสะยะวาโย)
ลมในลำไส้ (โกฏฐาสะยะวาโย)
ลมพัดทั่วกาย (อังคะมังคานุสิริวาโย)

ลมหายใจเข้า-ออก (อัสสาสะ ปัสสาสะวาโย)

ไม่มีความคิดเห็น: