วันศุกร์, กรกฎาคม 04, 2557

ต้นเหตุอารมณ์

วันนี้ขับรถมาส่งลูกชายไป “ฝึกงาน”
จากรังสิต ไปส่งที่ หมอชิต ขึ้นรถไฟฟ้า
ลูกมันง่วงเลยให้เอนเบาะนอนหลับ
เราก็ต้องขับช้าๆ ซึ่งไม่ใช่นิสัยเลย

ปกติ เวลาขับรถมักจะไปโกรธรถคันหน้า
ทำไมขับช้า ทิ้งช่วงให้คนอื่นมาตัดหน้าแซง
ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ชอบแซงซ้าย-ขวา
นี่ ... นิสัยเสียจริงๆ  ทำไมจะไม่รู้ตัว ???

วันนี้ต้องขับช้า ตามรถคันหน้าไป ก็เลยได้คิด ...
เออ... เอ... ทำไมเราต้องไปรู้สึกไม่ชอบใจคนอื่น
เลยเถิดไปถึง หลายๆ อารมณ์ความรู้สึกของคน

ตกลงแล้วอะไรมันเป็นเหตุ?
ทำไมต้อง “รู้สึก” รัก ชอบ เกลียด ชัง ดีใจ เสียใจ?

ทวารทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่แหละ ตัวร้าย
พอมันไปกระทบสัมผัส กับสิ่งทั้งหลาย (เรียกว่า ผัสสะ)

ไอ้ตัว “กิเลส” ที่มันติดสันดานเดิมมาในจิต มันก็ฟุ้ง
ตอนกระทบ มันก็ไม่มีอะไรหรอก แต่ “จิต” มันเร็วมาก
พอมันไปยกเอา ผัสสะทั้ง ๕ นั้น ขึ้นเป็นอารมณ์
บวกกับกิเลสที่ฟุ้งขึ้นมา มันก็พาให้เกิดหลากหลายอารมณ์

ก็เป็นไปตามที่พระพุทธองค์ท่านว่า ...
เมื่อมี สิ่งนี้ สิ่งนี้ ย่อมเป็น “ปัจจัย” ให้เกิด สิ่งนี้ สิ่งนี้ ตามมา
ที่เรียกว่าหลัก “ปฏิจฺจสมุปฺปาท” ที่หลายท่านชอบพูดถึง
(ปฏิจฺจ – อาศัย / สํ – พร้อม / อุปฺปาท (อุบัติ) – เกิด
 รวมๆ ก็คือ ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นพร้อม)

ถ้าไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ไม่มี “สัมผัส” หรือผัสสะ
ไม่มีผัสสะ ก็ไม่เกิด เวทนา (เสวยอารมณ์ – ก็คือ “รู้สึก”)
เมื่อเกิดมี เวทนา มันก็จึงเกิด “ตัณหา” ... ตามมา

ตัณหา – ความทะยานอยาก มันมี ๓ คือ
กามตัณหา –อยาก ในสี เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัส ...
ภวตัณหา – เมื่อชอบในกามนั้นแล้ว ก็อยากยึดมันไว้
อยากอยู่กับมันไว้ตลอด ไม่อยาก พรากมันไป
วิภวตัณหา – หากเกิดไม่ชอบในสิ่งที่มากระทบสัมผัส
มันก็ไม่อยากอยู่ด้วย ไม่อยากอยู่ในสภวะนั้นๆ

ไอ้ตัว ตัณหานี่ เมื่อมันกล้ามาก มันแรงมาก ก็เกิดเป็น
“อุปาทาน” ยึดเลย อยากอย่างยิ่งถึงขนาด สร้าง “กรรม”
ไม่ว่าจะ คิดในใจ แสดงออกด้วย วาจา หรือกาย ก็ตาม
















อุปาทาน คือไปยึด ... ยึดอะไร? ก็ไปยึดว่า
(ขออภัย) .. “นี่กูนะ ของกูนะ ตัวกูนี่แหละ”
ก็มีคำถาม อ้าว ... ก็ถ้าไม่ใช่ กู ของกู ตัวกู
แล้วมัน ใครล่ะ ของใครล่ะ ตัวใครล่ะ ???














ก็คงต้องถามกลับว่า ถ้าเป็น กู ของกู ตัวกู จริง
ทำไมปล่อยให้ตัวเอง หนังเหี่ยว หัวหงอก หลังงุ้ม ฯลฯ
ถ้าเป็น ของกู จริง มันก็ต้องห้ามได้ซี ใช่ไหม?

ท้ายสุด ทำไมปล่อยให้ไอ้ “กู” นี่มันหมดลม เน่าเสีย?
แล้วไอ้ที่ว่า “ของกู” “ตัวกู” นี่มันไปไหนหมดแล้ว ?

เอาแค่นี้แหละครับ ... งง เหมือนกัน ...
เริ่มต้นที่ ...ขับรถส่งลูก ตั้งใจไปส่งหมอชิต แล้วมาที่ทำงาน
ทำไม ... มันไปไกล ขนาดนั้น ... “จิต” หนอ “จิต”


จึงขอความเจริญในพุทธธรรม จงประสบแก่ทุกท่าน ครับ

ไม่มีความคิดเห็น: