เขียนเมื่อ ๙
กรกฎาคม ๒๕๕๗
ดูที่ตน
นั่นแหละ
กลับไปอ่านเพจเก่าๆ ในเฟสบุ๊ค ...
มีสหายธรรมท่านหนึ่ง นำบทสนทนาธรรม
ระหว่าง พระอาจารย์มั่น กับ หลวงปู่ขาว มาลงไว้
อ่านจบ ก็นึกถึง ธรรมบท คาถาหนึ่ง ของพระพุทธองค์
ที่จำได้ขึ้นใจ เพราะนำไปใช้ในการทำงาน ....
น ปเรสํ วิโลมานิ น ปเรสํ กตา กตํ
อตฺตนาว อเวกฺเขยฺย กตานิ อกตานิ จ
ถอดความ ได้ว่า...
อย่าไปมัวสนใจเรื่องของผู้อื่น
สิ่งใดที่เขาได้ทำ สิ่งใดที่เขาไม่ได้ทำ
จงดูเฉพาะกิจของตนเถิด
สิ่งใดทำแล้ว สิ่งใดที่ยังไม่ได้ทำ
การที่หลวงปู่ขาวท่านตั้งปุจฉา ว่า ...
ทำไมพระอรหันต์เกิดมีมากมาย ยุคพุทธกาล
เมื่อเทียบกับปัจจุบัน (สมัยท่านทั้งสอง) นับว่าน้อยนัก
อีกทั้งการปฏิบัติ ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก
ทำให้ผู้ปฏิบัติ ท้อถอย หมดกำลังใจ
ท่านพระอาจารย์มั่น จึงกระตุกสติหลวงปู่ขาวแรงๆ
ด้วยวิสัชนาว่า ...
รู้ได้อย่างไร?
อย่าไปสนใจเรื่องผู้อื่นเลย ดูที่ตัวนี่แหละพอแล้ว
ไอ้ที่ว่าปฏิบัติยากน่ะ ปฏิบัติจริงไหม ถูกไหม?
ที่ว่า สงบ น่ะ มันสงบแต่กายหรือเปล่า?
จิตยังว้าวุ่น เวียนวนกับโลกียะอยู่นั่นแล้ว
เมื่อไหร่ จะถอนออกมาได้ล่ะ?
นี่ก็เป็นบทพิสูจน์เรื่อง... ปจฺจตฺจํ...
อีกเรื่องหนึ่งครับ
ศึกษาให้รู้เส้นทาง ให้ถ่องแท้ ค่อยๆ ปฏิบัติอย่างระวัง
เป็นเหมือนแผนที่ ใช้ในการเดินทาง ...
ติดขัด ข้องใจ ก็กลับไปศึกษา สอบถาม
มิใช่ ทะนงตัว อวดตน ว่าข้าฯ บรรลุแล้ว ขั้นนั้น ขั้นนี้
แล้วเที่ยวไปสอดส่องว่า คนอื่นๆ ยังไม่เทียบขั้นข้าฯ ได้
ปจฺจตฺจํ ที่พระพุทธองค์ท่านกล่าวไว้นี่ลึกซึ้งจริงๆ
ท่านเคยเปรียบ “ธาตุ” ของคน โดยชี้ให้ดูหมู่สงฆ์
แต่ละรูป ล้วนมีอาจารย์ประจำ เช่น พระสารีบุตร
พระโมคคัลลาน์ พระมหากัสสป พระเทวทัต
แล้วท่านก็กล่าวว่า นี่แหละ ...
คนทั้งหลายย่อม คบกันตามธาตุ
ที่มีพุทธจริต ไฝ่เรียนรู้ ก็พวกหนึ่ง
ไฝ่ในฤทธิ ก็พวกหนึ่ง
ไฝ่ในธุดงคจริยวัตร ก็พวกหนึ่ง
ไฝ่ในธรรมอันลามก ก็พวกหนึ่ง
ล้วนคบหากันตามธาตุ ตามจริตแห่งตน
นี่เป็นวิถีแห่ง ปจฺจตฺตํ โดยแท้
ด้วย “ที่สุดทาง” นั้นมีอยู่
เส้นทางที่ว่าตรงนี้ ก็มีเส้นเดียวที่จะไปถึงสุดทาง
แต่การก้าวย่าง ของแต่ละบุคคลอาจแตกต่าง
ตราบใด ที่ยังเดินอยู่บนเส้นทาง ใยจะกลัวไปไม่ถึงที่สุด
ช้า-เร็ว เดิน-วิ่ง หรือจะพักตามกำลังที่มี
มิใช่เรื่องที่จะดูแคลนได้
ตราบที่การก้าวย่างไป ยังอยู่บนเส้นทางที่ถูก
มีสหายธรรมท่านหนึ่ง นำบทสนทนาธรรม
ระหว่าง พระอาจารย์มั่น กับ หลวงปู่ขาว มาลงไว้
อ่านจบ ก็นึกถึง ธรรมบท คาถาหนึ่ง ของพระพุทธองค์
ที่จำได้ขึ้นใจ เพราะนำไปใช้ในการทำงาน ....
น ปเรสํ วิโลมานิ น ปเรสํ กตา กตํ
อตฺตนาว อเวกฺเขยฺย กตานิ อกตานิ จ
ถอดความ ได้ว่า...
อย่าไปมัวสนใจเรื่องของผู้อื่น
สิ่งใดที่เขาได้ทำ สิ่งใดที่เขาไม่ได้ทำ
จงดูเฉพาะกิจของตนเถิด
สิ่งใดทำแล้ว สิ่งใดที่ยังไม่ได้ทำ
การที่หลวงปู่ขาวท่านตั้งปุจฉา ว่า ...
ทำไมพระอรหันต์เกิดมีมากมาย ยุคพุทธกาล
เมื่อเทียบกับปัจจุบัน (สมัยท่านทั้งสอง) นับว่าน้อยนัก
อีกทั้งการปฏิบัติ ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก
ทำให้ผู้ปฏิบัติ ท้อถอย หมดกำลังใจ
ท่านพระอาจารย์มั่น จึงกระตุกสติหลวงปู่ขาวแรงๆ
ด้วยวิสัชนาว่า ...
รู้ได้อย่างไร?
อย่าไปสนใจเรื่องผู้อื่นเลย ดูที่ตัวนี่แหละพอแล้ว
ไอ้ที่ว่าปฏิบัติยากน่ะ ปฏิบัติจริงไหม ถูกไหม?
ที่ว่า สงบ น่ะ มันสงบแต่กายหรือเปล่า?
จิตยังว้าวุ่น เวียนวนกับโลกียะอยู่นั่นแล้ว
เมื่อไหร่ จะถอนออกมาได้ล่ะ?
นี่ก็เป็นบทพิสูจน์เรื่อง... ปจฺจตฺจํ...
อีกเรื่องหนึ่งครับ
ศึกษาให้รู้เส้นทาง ให้ถ่องแท้ ค่อยๆ ปฏิบัติอย่างระวัง
เป็นเหมือนแผนที่ ใช้ในการเดินทาง ...
ติดขัด ข้องใจ ก็กลับไปศึกษา สอบถาม
มิใช่ ทะนงตัว อวดตน ว่าข้าฯ บรรลุแล้ว ขั้นนั้น ขั้นนี้
แล้วเที่ยวไปสอดส่องว่า คนอื่นๆ ยังไม่เทียบขั้นข้าฯ ได้
ปจฺจตฺจํ ที่พระพุทธองค์ท่านกล่าวไว้นี่ลึกซึ้งจริงๆ
ท่านเคยเปรียบ “ธาตุ” ของคน โดยชี้ให้ดูหมู่สงฆ์
แต่ละรูป ล้วนมีอาจารย์ประจำ เช่น พระสารีบุตร
พระโมคคัลลาน์ พระมหากัสสป พระเทวทัต
แล้วท่านก็กล่าวว่า นี่แหละ ...
คนทั้งหลายย่อม คบกันตามธาตุ
ที่มีพุทธจริต ไฝ่เรียนรู้ ก็พวกหนึ่ง
ไฝ่ในฤทธิ ก็พวกหนึ่ง
ไฝ่ในธุดงคจริยวัตร ก็พวกหนึ่ง
ไฝ่ในธรรมอันลามก ก็พวกหนึ่ง
ล้วนคบหากันตามธาตุ ตามจริตแห่งตน
นี่เป็นวิถีแห่ง ปจฺจตฺตํ โดยแท้
ด้วย “ที่สุดทาง” นั้นมีอยู่
เส้นทางที่ว่าตรงนี้ ก็มีเส้นเดียวที่จะไปถึงสุดทาง
แต่การก้าวย่าง ของแต่ละบุคคลอาจแตกต่าง
ตราบใด ที่ยังเดินอยู่บนเส้นทาง ใยจะกลัวไปไม่ถึงที่สุด
ช้า-เร็ว เดิน-วิ่ง หรือจะพักตามกำลังที่มี
มิใช่เรื่องที่จะดูแคลนได้
ตราบที่การก้าวย่างไป ยังอยู่บนเส้นทางที่ถูก
ทางไหนล่ะ ที่ถูก? ... ก็ศึกษาเอาซิ ...
ก็ไม่ศึกษา แล้วเดินเอง ก็มา “ตู่” เอาว่า นี่แหละ ถูกทาง
สุดท้าย พบว่า “หลง” ทาง ก็เสียเวลาไปมากมาย
“แผนที่” มีอยู่แล้ว ด้วยพระพุทธองค์ท่านทรงชี้
ส่วนการเดินทางนั้น ปจฺจตฺตํ แท้ๆ
อย่ากล่าวอ้างกันเลย
ผู้ปฏิบัติดี – สุปฏิปันโน
ปฏิบัติตรง – อุชุปฏิปันโน
ปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้น – ญายปฏิปันโน
ปฏิบัติอันควร – สามีจิปฏิปันโน
ดั่งนี้แหละ จึงนับว่าก้าวสู่ “ทาง” ที่จะไปถึง “ที่สุด” แท้
ส่วนตัว ... คิดว่าอยู่บนทางนี้แน่ ... แต่ ... แค่ “ต้นทาง”
แม้จะค่อยๆ คลานไป ขอตั้งมั่น ... จะไม่ออก “นอกทาง”
ขอความเจริญในพุทธธรรมจงประสบแด่ทุกท่านครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น