วันศุกร์, กรกฎาคม 04, 2557

เจตสิก - สังขาร

เรื่องของพุทธธรรมนี่ ...
ส่วนใหญ่ มักพูดถึง ได้ยินถึง เรื่องของ “จิต”
ซึ่งเมื่อว่าโดยธรรมชาติเดิมแท้ของ จิต แล้ว
มันก็ทำหน้าที่เพียง รู้ เท่านั้น ...

(ก่อนจะไปต่อ ขอความกรุณาใจเย็นๆ
ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ ทำความเข้าใจ
อย่าเพิ่งเบื่อ เพราะบางตอนอาจดู “น่าเบื่อ
แต่ขอรับประกันให้ได้ว่า อ่านจบแล้ว ...
จะเข้าใจ “ชีวิต” เลยล่ะครับ)

ในคำสอนของพระพุทธองค์ ส่วนพระอภิธรรม
ตรัสถึง อีกหนึ่งธรรมชาติ บัญญัติเรียกว่า “เจตสิก”
ธรรมชาตินี้ เกิด – ดับ – มีอารมณ์ – และมีวัตถุที่เกิด
ร่วมกันกับจิต พร้อมกันกับจิต
จนอาจทำให้ไปเข้าใจได้ว่า จิตรู้ และคิดปรุงเองได้
(เจตสิก นี่แหละครับ ที่เรียกว่า “สังขาร”)














พระพุทธองค์ท่านจำแนก ธรรม (ส่วนนามธรรม)
ได้อย่างละเอียด ลึกซึ้ง จริงๆ ... ไม่มีผู้ใดเสมอ

จิต เป็นใหญ่ เป็นประธาน
จิต เกิดเปล่าๆ โดยไม่มีเจตสิก ไม่มี
เจตสิก เกิดเองโดยไม่อาศัยจิต ไม่ได้

เจตสิกนี้แหละ ทำให้ จิต (ซึ่งรู้อย่างเดียว)
แยกแยะเป็น ๘๙ หรือถ้านับแบบพิศดาร ก็ ๑๒๑
(ตรงนี้ อย่าเพิ่งไปใส่ใจ เดี๋ยวจะ “เบื่อ” เสียก่อน)

เจตสิก มี ๕๒ (ก็อย่าเพิ่งตกใจว่าต้องจำ)
มันแยกเป็น ๓ ประเภท คือ กลาง – ชั่ว – ดี
(ตรงนี้ก็อย่าไปหนักใจ ไม่อยากรู้ ข้ามไปก่อน)

ขอพูดถึงประเภทเดียว คือ อกุศลเจตสิก ตัวชั่ว
มี ๑๔ ตัว ปรุงจิตให้ชั่ว (ไม่ต้องจำ เดี๋ยวนึกได้เอง)
จิตจึงไป สั่งกาย และวาจา ให้ทำชั่ว ให้พูดชั่ว
แล้วตัวมันเองก็ คิดชั่ว ก่อนหน้านั้นแล้ว

เพื่อให้ง่ายแก่การจำ ๑๔ “ตัวชั่ว” ท่านก็แบ่ง ...
โมจตุกะ (โม-โมหะ / จตุกะ – ก็ ๔)
๑.      หลง (อวิชชา, ไม่รู้สิ่งที่ควรรู้, รู้สิ่งที่ไม่ควรรู้)
๒.     ไม่อาย (ไม่อายในการที่จะทำชั่ว บาป)
๓.     ไม่กลัว (ไม่กลัวที่ต้องรับผลที่ทำชั่ว บาป)
๔.     ฟุ้งซ่าน (คิดเรื่อยเปื่อย เลอะเลือน ขาดสติ)

โลติกะ (โล – โลภะ, โลภ / ติกะ – ก็ ๓) คือ
๑.      โลภ (อยาก ต้องการ ส่วนที่มิใช่ของตน)
๒.     เห็นผิด (จากความจริงของสภาพธรรม)
๓.     อวดตน ทะนงตน ถือตน (เห็นว่าเหนือผู้อื่น)

โทจตุกะ (โท – โทสะ, โกรธ / จตุ – ๔) คือ
๑.      โทสะ (โกรธ พยาบาท อาฆาต คิดมุ่งร้าย)
๒.     อิจฉา (ไม่ยินดีในลาภของผู้อื่น)
๓.     ตระหนี่ (ไม่ยอมเสียสละ ไม่รู้จักการให้)
๔.     รำคาญใจ (หงุดหงิด อารมณ์ร้ายเสมอ)

ถีทุกะ (ถี – ถีนะ / ทุกะ – ก็ ๒) คือ
๑.      ท้อถอย (หดหู่ เซื่องซึม ไม่ใส่ใจในอารมณ์)
๒.     ง่วง (หาวนอน จับอารมณ์ไม่ติด)

สดุท้าย มี ตัวเดียว คือ
๑.      ลังเลสงสัย (ไม่เชื่อในพระพุทธศาสนา และคำสอน)

เอ ... ที่ว่ามานี่ นึกภาพไม่ออกในทางปฏิบัติ
มันเป็นยังไงล่ะ? ...

ต้องเข้าใจนะครับ เจตสิกมัน “ปรุง”
มันจะปรุงได้ก็ต่อเมื่อ “จิต” รู้ คือ ต้องกระทบ (ผัสสะ)

ตาเห็นรูป ... เอ้า ... คุณผู้ชายเห็นหญิงสาว
"สัญญา" (นี่ก็เจตสิก แต่เป็นตัวกลาง) จำได้ว่า ...
แบบนี้ เรียกว่า “สวย เซ็กซี่” นี่(หว่า) ...
จิต มันยก รูปารมณ์ (อารมณ์คือรูป) นั้นขึ้นพิจารณา
คิดว่า เจตสิก ตัวชั่ว ตัวไหนล่ะ ที่มันจะมา “ปรุง” ???

อ้อ ... ถึงตรงนี้ต้องบอกก่อนนะครับ
ไอ้กลุ่ม โมหะ ๔ นี่ มันเกิดทุกครั้งในการ “ปรุง” ให้ชั่ว
เพราะ อวิชชา คือ หลง นี่ มันเป็นพื้นฐานความชั่ว

เอ้า ... กลับมาเรื่อง หญิงสาว สวย เซ็กซี่ ...
ไอ้กลุ่ม โลภนี่ มันจะยกมาทั้งแกงค์เลยนะครับ ...
อยาก ... มาอันดับแรก ไม่รู้ล่ะ ว่ามันอยากอะไร
เห็นผิด ... ไปเข้าใจว่าสวย
จริงๆ แล้ว โสโครก สกปรก เป็นปฏิกูลนะ
(นึกซิ ขี้ไคล ขี้หู ขี้ตา กระเพาะ ใส้ ม้าม อุจจาระ ฯลฯ)
ทะนงตนก็เกิด คิดว่าตัวเองเหมาะ หล่อ ไม่มีใครเทียบ
มาบวกกับกลุ่ม หลง โง่ ไม่รู้ ไม่อาย ไม่กลัว
ฟุ้งซ่านแต่เรื่อง จะจัดการ “เหยื่อ” อย่างไร

เอ้า ... ลองอีกหน่อยไหมครับ เพื่อความเข้าใจ
หู ดันไปได้ยิน คนนินทาเรา ... แล้วไง?
อย่าลืมนะครับ ไอ้แก๊งค์ โมหะ อวิชชา นี่มันเป็นพื้น
แล้วมันจะมีอะไรตาม โทสะ เกิดแน่
กุกกุจจะ คือ หงุดหงิด เกิดแน่

อ้าว ก็มันเกิด แล้วยังไงล่ะ?
ก็มันเกิดกับ “จิต” นี่ มันปรุง “จิต” นี่

ก็ขอทวนไปเรื่อง “ปัจจัย” (สิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด)
ทวาร ๕ – ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันกระทบ แล้ว
เวทนา คือการเสวยอารมณ์ที่มากระทบ คือ รู้สึก เกิด
เวทนาเกิด ตัณหาเกิด (ตัณหานี้ มันยิ่งกว่า โลภ นะครับ)
เมื่อมันอยากมากๆ มันก็เกิด “ยึด” คือ อุปาทาน
แล้วมันจึง “สร้าง” กรรม ต่อ

เริ่มจาก “คิดชั่ว” (ในทางพุทธ คิดนี่ ถือว่าเป็นกรรมแล้ว)
ทำชั่วต่อเลย ด้วยกาย เช่น เข้าไปปลุกปล้ำเลย
ด้วยวาจา เช่น ด่าคุณแม่ไอ้คนที่นินทาเลย

เห็นไหมครับ พอเข้าใจนะครับ
และ ... นี่แหละครับ “ชีวิต” สัตว์ทั้งหลาย

ผมเอง เห็นว่า เจตสิกนี่ มันมีตั้ง ๕๒ ขี้เกียจจำ
(แต่เดี๋ยวนี้ “จำ” หมด ทั้งไทย-บาลี ก็มันชอบจำครับ)
แรกๆ เลยเอาเฉพาะ “ตัวชั่ว”
ก็ถ้า “ระวัง” ไม่ให้ตัวชั่วเกิด ก็คงพอถูไถ ไปก่อนล่ะครับ
นี่ คิดแบบนี้ ... ๑๔ ตัวก็เลยจำง่าย

ที่สำคัญ มันตัวคุ้นๆ ทั้งนั้น มันมาทุกวัน มาทั้งวัน

ที่ว่าต้องพยายาม “ระวัง” ก็เพราะ ...
จิตมันเร็วมากๆ เกิดผัสสะ เวทนา ตัณหา ...
ตามมันไม่ทันหรอกครับ ...
แรกๆ ก็ใช้วิธี พิจารณาหลังมันเกิดขึ้นแล้ว ... ไม่น่าเล้ย
พอทำบ่อยๆ มันจะเป็นนิสัย ยิ่งฝึกสติ และให้สมาธิช่วย
หลังๆ กระทบปุ๊บ ยังมีเวลาพิจารณา

แต่ถ้าจะบอกว่า หมดเกลี้ยงเลย คงไม่ได้ล่ะครับ
ก็จะเป็นไรไป ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ฝึก
นี่แหละ “สติ” .. นี่แหละ “สมาธิ” .. นี่แหละ “ปัญญา”


ขอความเจริญในพุทธธรรม จงประสบแก่ท่านทั้งหลาย

ไม่มีความคิดเห็น: