สมัยที่ยังเยาว์วัย
ชอบมองท้องฟ้า
ครั้นโตมา
ร่ำเรียนแล้ว ก็เกิดคำถาม ข้อสงสัยในใจ
สงสัยไปว่า
... “อวกาศ มีที่สิ้นสุดไหม?”
เชื่อว่า
คงมีหลายคน คิดทำนองนี้เหมือนกัน
มันมีคำตอบในใจอยู่เหมือนกันว่า
๑. มีซิ
ที่เรียกว่า “ขอบจักรวาล” ไง ... และ
๒. ไม่มีหรอก
จักรวาล มันไม่สิ้นสุด
ก็มานึก
คำตอบแรก ... ถ้ามี ขอบจักรวาล ที่ว่า
ก็เกิดมีคำถามต่อ
“แล้วหลังขอบจักรวาล เป็นอะไรล่ะ?”
ถ้าคำตอบที่
๒ จักรวาลไม่มีสิ้นสุด ไร้ขอบเขต
เราก็นึกภาพ
“ความไร้ขอบเขต” ไม่ออก จริงๆ
แล้วมันจะจบยังไง
... อ้อ มันไม่จบ ซินะ
แล้วมาเกี่ยวอะไรกับหัวเรื่องที่เขียนนี่?
ในทางพุทธธรรม แบ่ง ภพภูมิ ออกเป็น ๓
(โดยไม่นับ
โลกุตตรภูมิ – ภูมิพระอริยะ) คือ ...
กามภูมิ
ที่มนุษย์ เทวดา ๖ ชั้น และทุคติสัตว์อยู่
รูปภูมิ
คือชั้นที่บรรดาพรหม ที่มีรูปอยู่ ๑๖ ชั้น
อรูปภูมิ
คือชั้นบรรดาพรหม ที่ไม่มีรูป (มีแต่ นาม)
อรูปภูมินี้
มี ๔ แต่ถือเป็น ระดับชั้นเดียวกันหมด
ในเรื่องของ
“ฌาน” นั้น
ผู้บำเพ็ญเพียรใน
๔ ฌาน แรก จะปฏิสนธิในรูปพรหม
(ผู้ไม่ทำฌาน
ก็เวียนอยู่ใน กาม อยู่นั่นแหละ)
เรื่อง
“ฌาน” ต้องเข้าใจว่า เป็นการฝึกจิต
ด้วยอาการอันสงบ
อยู่กับ “อารมณ์หนึ่งเดียว”
จะเป็น
กสิณ ๑๐ หรือ อานาปานสติ ก็ได้ เป็นต้น
เมื่อถึง
ปฐมฌาน ก็จะมีองค์ฌานครบ คือ
วิตก
(ตรึก) วิจาร (ตรอง) ปิติ สุข และเอกกัคคตา
ย้ำ
... ใน “อารมณ์” เดียว (คืออารมณ์ที่ ตรึก ตรอง)
ฌาน
๒ ก็จะเหลือ ปิติ สุข เอกัคคตา
ฌาน
๓ ก็จะเหลือ สุข กับ เอกัคคตา
พอได้
ฌาน ๔ จะเปลี่ยน สุข เป็น “อุเบกขา”
ฉะนั้น
ฌาน ๔ จะได้เป็น ... อุเปกฺเขกคฺคตา
คือวางอุเบกขา
ในอารมณ์ที่เพ่ง เป็นเอกัคคตา
เอกัคคตา
ก็คือ การดิ่งอยู่ด้วย “อารมณ์” เดียว
ถ้าอานาปานสติ
ก็อยู่กับลมหายใจ อย่างเดียว
ไม่นึก
ไม่คิด เรื่องอื่นใดเลย และมีจิตเป็นอุเบกขา
หากผู้ทรงฌาน
๑-๔ จบชีวิตลง
กุศลที่ได้ทรงฌานนี้
เป็น “ครุกรรม” กรรมหนัก
ย่อมส่งผลไปเกิด
ในรูปพรหมภูมิ ๑๖ ชั้น แน่นอน
ตามลำดับของ
ฌาน ที่ได้ถึง (๑-๔)
ทีนี้
เมื่อได้ ฌานที่ ๔ แล้ว ผู้ทรงฌาน
จะเปลี่ยน
“อารมณ์” มาเป็นอย่างอื่น ที่ไม่ใช่ รูป
อันนี้แหละ
จะก้าวข้ามมาสู่ “อรูปพรหมภูมิ” แล้ว
หมายความว่า
หากบุคคลเกิดเสียชีวิต
กุศลที่ได้ทรงฌาน
นี้ เป็น “ครุกรรม” กรรมหนัก
ย่อมส่งผลไปเกิด
ในอรูปพรหมภูมิ แน่นอน
จึงว่า
เมื่อก้าวข้ามรูปพรหมภูมิ ๑๖ ชั้นแล้ว
มาถึงขั้น
อรูปพรหมภูมิ จะไม่แบ่งชั้น
เพราะ
“จิต” นั้น เป็น อุเบกขา + เอกัคคตา
เพียงแต่
“อารมณ์” แห่ง ฌาน เปลี่ยน
อารมณ์แรก
ที่กล่าวถึง คือ ...
อากาสานัญจายตน
นี่เอง
คือทรงฌาน
ด้วยพิจารณาอารมณ์ว่า ...
อากาศ
(อวกาศ) ไม่มีสิ้นสุด
โดยภาวนาว่า
“อากาโส อนนฺโต”
นี่แหละครับ
... อวกาศ ไม่มีสิ้นสุด
วันนี้
จบห้วน จริงๆ
ทำไมทำเช่นนี้
เขียนขึ้นมาทำไม?
ที่จริงก็อยากให้หลายๆ
ท่านทราบ
หรือกระตุ้นให้ไปศึกษาต่อ
เรื่อง ...
ภูมิ
๓ (ไม่นับ โลกุตรภูมิ)
ฌาน
๔ (หรือฌาน ๕ ตามพระอภิธรรม)
รูปพรหม
๑๖ ชั้น
อรูปพรหม
๔ มี ...
อากาสานัญจายตน
วิญญานัญจายตน
อากิญจัญยายตน
เนวสัญญานาสัญญายตน
เพื่ออะไร? จะให้รู้ไปทำไม?
ก็อย่างน้อย
ไม่ให้ใครมา “หลอก”
ให้รู้เท่าทัน
ให้ไว้ตรวจสอบ
เช่นมีผู้บอกว่า
ได้ฌาน ๖ แล้ว ฌาน ๑๖ แล้ว
อันนี้
บอกได้เลยว่า “มั่ว” (ในทางพุทธธรรม นะครับ)
แต่ท่านผู้พูดอาจหมายถึงเฉพาะ
“ฌานของท่าน”
เอาอย่างนี้
ก็แล้วกันนะครับ
หากมีคำถาม
แล้วส่วนตัว ฝึกไหมล่ะ?
ดีแต่
“พล่าม” หรือเปล่า? ... ก็ขอตอบ ...
ฝึกเหมือนกัน
ทุกก่อนเช้า และ ก่อนนอน แต่ ...
ฝึกสติปัฏฐาน
๔ ดูเรื่อง กาย เวทนา จิต ธรรม
(อันนี้
สัมมาสติ) มิได้ฝึกเรื่อง ฌาน ที่กล่าวมา ครับ
อ้าวแล้ว
สัมมาสมาธิ เล่า ... เอาไปไว้ไหน?
(ไม่ชอบบาลี
ไม่ต้องอ่านท่อนต่อไปนี้ ครับ)
กตมา จ ภิกฺขเว สมฺมาสมาธิ
อิธ ภิกฺขเว ภิกขุ
วิวิจฺเจฺว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ
สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชฺชํ ปิติ สุขํ
ปฐมํ ฌานํ อุปฺปสมฺปชฺช วิหรติ
อะไรคือ
สัมมาสมาธิ หรือ ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลาย
สภาวธรรม
ที่ปลอดจาก “กาม” ปลอดจาก “อกุศล”
มีวิตก
(การตรึก นึก) มีวิจาร (การตรอง คิด)
สงบด้วยวิเวก
มีปีติ และเป็นสุข
อันนี้
เป็น ปฐมฌาน ที่พึงอยู่ ...
(ยังมีเหลืออีก
๓ ฌาน ... ลองหาดูเอง ครับ)
ก็เมื่อปฏิบัติ
สัมมาสติ พิจารณา “กาย”
มันก็พิจารณารูป
ตรึกอยู่กับรูป ตรองอยู่กับรูป
มันก็ต้องไม่ปล่อยจิตให้
วอกแวก ไปเรื่องอื่น
มี
“ฟุ้ง” บ้างไหม? ... มีซิ
ก็ยังละอ่อนเรื่องนี้อยู่เลย
นี่นา
และ
จิต นี่มันก็ เร็ว ซะด้วย
ก็
“เรียกมันกลับ” มาซี ก็เย่ออยู่กับมัน
จะพักใหญ่
พักเล็ก ก็เย่อกับมันไป
ขอแต่เราอย่าเหนื่อย
อย่ายอมแพ้เสียก่อน
ขอสรุปเอาเองได้เลยตรงนี้
สัมมาสติ
สัมมาสมาธิ แทบจะเป็น เนื้อเดียวกันเลย
ว่าง
เมื่อไร นึกขึ้นได้ ก็สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี่แหละ
อ้าว
... ไม่ต้อนั่ง “คู้บัลลังก์” หรือ ทำสมาธิน่ะ ?...
ตรงไหนเขาบอกหรือครับ
ว่าสมาธิต้องอยู่ท่านั้น ท่านี้?
“จิต”
มันไม่มี “ท่า” ระลึกได้เมือไร
ทำได้เมื่อนั้น
วันนี้
ขอแค่นี้ครับ
ที่เหลือก็เป็นเรื่องของท่าน
...
ผมก็มี
“ภาระ” ของผมต่อเช่นกันครับ
ขอความเจริญในพุทธธรรม
จงประสบแก่ท่านทั้งหลาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น