ว่าตาม
“บัญญัติ” วันนี้ก็รวมเวลา ๕๘ ปีเต็ม
ที่ได้ถือชาติ
คือกำเนิดมาในภพแห่งมนุษย์นี้
ขึ้นปีที่
๕๙ ถ้าจะว่าไป ก็ยังห่างฝั่งอีกไกล
ถ้านับกันตามปรมัตถ์
การถือกำเนิด
หรือปฏิสนธินี่
ต้องนับย้อนหลังไปถึงตอนที่
จุติจิต
จากภพก่อนหน้านี้ ดับลง
แล้วจึงมาต่อด้วย
ปฏิสนธิจิต ในภพชาตินี้
เรียกว่า
อุปาทะขณะ (ขณะที่อุบัติขึ้น)
ปฏิสนธิจิต
เกิดขณะเดียว แล้วดับลง จากนั้น
จึงต่อด้วยภวังค์จิต
(จิตที่รักษาองค์ของภพ)
ประหลาดใจมากใน
พระสัพพัญญุตาญาณ
แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่มีญาณหยั่งรู้
รายละเอียดของพัฒนาการแห่งชีวิต
สำหรับมนุษย์ที่เป็น
ชลาภุชะ คือเกิดในครรภ์
พระพุทธองค์แสดงรายละเอียดดังนี้
...
๑.
กลฺลสตฺตาห เป็นน้ำใส (กลละ) ๑ สัปดาห์
๒. อมฺพุชชสตฺตาห เป็นฟองน้ำ
(อัมพุชชะ) ๑ สัปดาห์
๓. เปสิสตฺตาห เป็นเมือกไข (เปสิ) ๑
สัปดาห์
๔. ฆนสตฺตาห เป็นก้อนไข (ฆน หรือ
คณะ) ๑ สัปดาห์
๕. ปสาขาสตฺตาห (ปัญจสาขา คือแยก ๕)
แขน ขา ศรีษะ ๑ สัปดาห์
๖.
ปริปากสตฺตาห
ขยายตัวใหญ่ขึ้น ๕ สัปดาห์
๗. จกฺขาทิสตฺตาห อายตนะเกิด ๑
สัปดาห์
๘. ปริปากสตฺตาห ขยายตัว
เจริญเติบโตขึ้นไป ๓๐ สัปดาห์
๙.
เกสาทิสตฺตาห
โกฏฐาสเกิด ๑ สัปดาห์
(ตั้งแต่สัปดาห์ที่
๑๒ ถึง ๔๒ – ผม ขน เล็บ...ปรากฎตามลำดับ)
รวม
๔๒ สัปดาห์ x ๗ วัน = ๒๙๔
วัน
อันนี้เป็นกรณีปกติ
หากเป็นเรื่องคลอดก่อน-หลัง
กำหนด ก็ไม่ใช่ปกติ
ประเด็นคือ
ในบทที่พระพุทธองค์แสดง ธาตุ
ดิน
๒๐ น้ำ ๑๒ ที่เรียกกันว่า “ทวัตติงสาการปาฐะ”
แยกอวัยวะภายในทั้งหลายนั้น
ผู้อื่นก็อาจทราบได้
เช่นผู้ทำหน้าที่ชำแหละศพ
ส่วนร่างกาย
แต่กรณีรายละเอียดเล็กมากที่กล่าวเรื่อง
ครรภ์ นี้
แม้แพทย์ปัจจุบันก็ยังยอมรับว่า
ตรงตามความเป็นจริง
หากมิใช่พระปัญญาญาณ
ไม่สามารถแยกแยะเช่นนี้ได้
นี่พูดถึงเรื่องราวเมื่อเกือบ
๓,๐๐๐ ปีมาแล้วนะ
อย่างไรก็ตาม
พระพุทธองค์ไม่ทรงสรรเสริญ ชาติ การเกิด
ด้วยเหตุที่ว่า
ย่อมกลับมารับวิบาก ทั้งกุศล อกุศล
ยังเวียนว่ายอยู่ในสังสาร
ด้วยสิ่งที่เรียกว่า วัฏฏะ ๓
วัฏฏะ
คือ “วน” วนอยู่ใน ๓ ประการคือ
กิเลสวัฏฏะ
– กัมมวัฏฏะ – วิปากวัฏฏะ
กิเลสนั้นนอนเนื่องในสันดานอยู่แล้ว
หากยังไม่สามารถกำจัดให้หมดชนิดที่เป็น
สมุทเฉทปหาน
คือกำจัดได้ถาวร หมดสิ้น
มันก็ยังเป็นเครื่องก่อ
ให้เกิด “กรรม”
และเมื่อได้กระทำกรรม
ทั้ง ใจ วาจา และกายแล้ว
ที่จะพ้นไปจาก
“วิบาก” เป็นไม่มี
ส่วนตัวแล้ว
...
นี่แหละ
จึงต้องศึกษา จึงต้องปฏิบัติ “ขูดกิเลส”
โบราณท่านก็ใช้คำได้ดี
พระพุทธองค์ท่านว่า ...
กิเลสเหมือนยางเหนียว
... มันจึงต้องถูก “ขูดออก”
แน่นอนมันไม่ง่าย
และ ไม่ใช่เรื่อง “ฉับพลัน”
มันเป็นเรื่องต้อง
“หมั่น เพียร” ค่อยๆ ขูดมันออก
แม้ขูดยังออกไม่หมด
แต่มันก็ “บาง” ลงแล้ว
ชาตินี้นั่งขูดยังไม่เสร็จ
เก็บไปขูดต่อชาติหน้า
แน่ใจได้อย่างไร
ชาติหน้าจะมีโอกาสมาขูดอีก?
ก็นี่ไง
จึงกลับมาสวดบท “ปัฏฐนฐปนคาถา” เช้า-เย็น
คือ
คาถาว่าด้วยการตั้งปรารถนา
ให้ได้เกิดเป็นมนุษย์
เพศประเสิรฐ ให้ได้บรรพชา
จึงนำมาฝากทุกท่าน
ยาวไปหน่อย ค่อยๆ อ่าน
ค่อยๆ
คิดตาม ... น่าจะเป็นสาระแก่ชีวิต
ขอความเจริญในพุทธธรรม
บังเกิดแก่ท่านทั้งหลาย
Key
words for Google Search:
วัฏฏะ
๓, ปัฏฐนฐปนคาถา, รูปสังคหวิภาค
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น