วันอังคาร, กรกฎาคม 22, 2557

วัฏฏะ เวียน-วน ไม่รู้ต้น-ปลาย

วันนี้ ... ขออนุญาต กล่าวถึง "ทุกข์" และที่มาของมัน
ตามแนว ปฏิจจสมุปปาท หรือที่รู้จักกันในชื่อ อิทัปปัจจยตา

"ทุกข์" โดยศัพท์ แปลว่า "สภาพที่ทนอยู่เช่นเดิมไม่ได้"
ฉะนั้น ตราบที่ยังพอใจกับสภาพเดิมๆ อยู่ ... คงเป็นสุขกระมัง?

ในเชิงพุทธธรรมแล้ว สุขไม่มีครับ  มันมีแต่ทุกข์
ทุกอย่างเป็นทุกข์ ด้วยเหตุที่ไม่พ้นไปจาก "สังสาร" ได้

เมื่อพระพุทธองค์พิจารณา ปฏิจจสมุปปาทธรรม
ท่านพิจารณา "ย้อน"  ย้อนขึ้นไป ...

เริ่มจากสภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบันของชีวิตนั้น มันมีแต่ ...
โศกเศร้า ทุกข์ (เจ็บกาย) โทมนัส (เจ็บใจ) อุปายาส (คับแค้นใจ)
ธรรมอันเป็นกองทุกข์ทั้งมวลนี้ มันมีมาแต่ การเกิด (ชาติ)
เพราะเมื่อมีการ "เกิด"
ชรา มรณะ และกองทุกข์ทั้งหลาย มันตามมา

ก็แล้ว "เกิด หรือ ชาติ" (อ่านว่า ชา-ติ) มันมาจากอะไรล่ะ?
ท่านไล่ขึ้นไปก็ทราบว่า มาจาก "ภพ"  มันมีอยู่ ๒ ภพ (ภาวะ)
หนึ่งคือ "กรรมภพ" (ภาวะที่ได้ไปสร้างกรรมเอาไว้) และ ...
หนึ่งคือ "อุปัตติภพ" (ภาวะที่ต้องทำให้ไปเกิดด้วยแรงของกรรมภพ)

ก็แล้วอะไรมันทำให้เกิด "ภพ" ล่ะ? ...
พิจารณาแล้วก็ทราบว่า "อุปาทาน" คือความยึดมั่น ถือมั่น
ตัวนี้แหละที่จะนำไปสู่ "การกระทำ" หรือ "กรรมภพ"
ทั้งด้วย กาย วาจา และ ใจ

ไอ้ตัว "อุปาทาน" ที่ยึดมั่น ถือมั่น นี่น่ะ มันมาจากอะไรล่ะ? ...
พิจารณาแล้วก็รู้ว่า มาแต่ "ตัณหา" ความทะยานอยาก

คือติดใจ อยาก ในกาม เป็น “กามตัณหา”
อยากใน "กามคุณ ๕" - สี เสียง กลิ่น รส สิ่งต้องสัมผัส
อันไหนพอใจ ก็เป็น "ภวตัณหา"
คือพอใจในสภาวะเช่นนั้น ก็เป็นความโลภ ความหลง
อันไหนไม่พอใจ ก็เป็น "วิภวตัณหา"
อยากหนีไปจากสภาวะเช่นนั้น ก็เป็น ความโกรธ ความหลง

ตัว "ตัณหา" นี่ เมื่อพิจารณาแล้วจึงรู้ว่า มันมาจาก "เวทนา"
โดยศัพท์มันแปลว่า "การเสวยอารมณ์" ก็คือ การเข้าไปรู้สึก
รู้สึกอย่างไร?  เวทนา ๕ คือ
สุขเวทนา (สบายกาย), ทุกขเวทนา (ไม่สบายกาย),
โสมนัสเวทนา (สบายใจ), โทมนัสเวทนา (ไม่สบายใจ)
และ อุเบกขา วางเฉย (เฉย เพราะไม่รู้ และ เฉย เพราะรู้)
รู้สึกอะไร?
ก็รู้สึกกับสิ่งที่เป็นต้นเหตุ สาเหตุ นั่นคือ "ผัสสะ"

การกระทบ หรือ ผัสสะ นี้ก็เกิดจากอะไรล่ะ? ...
เกิดเพราะมี "สฬายตนะ ๑๒" (สะ-ลา-ยะ-ตะ-นะ ๖ + ๖)
คือ ทวาร (ช่องทาง) หรือ แดนติดต่อ ที่รับการสัมผัส
ตา (รูป) หู (เสียง) จมูก (กลิ่น) ลิ้น (รส) กาย (สิ่งต้องสัมผัส)
และ จิต หรือ ใจ (กับ ธรรม - เรื่องที่นำมาคิด คำนึงอยู่)

อายตนะทั้ง ๖ มันมีที่มาอย่างไรล่ะ?
มันมาจาก นามรูปํ (นา-มะ-รู-ปัง) คือ รูป คือ นาม
รูปก็คือ สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมอารมณ์
นามก็คือ จิต ๑ กับ เจตสิก (ธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิต) ๕๒

นามรูป ก็เกิดจากปัจจัยที่ชื่อ "วิญฺญาณํ" ก็คือ "จิต"
จิตที่รู้นี้ มันก็ "สหคต" พัวพัน เกี่ยวกันกับ "เจตสิก" ที่ปรุงมัน
เจตสิกนี่ก็คือ "สังขาร" นั่นเอง เพราะชอบปรุงไปเรื่อย

"สังขาร" นี่เกิดได้ จากปัจจัยที่ชื่อว่า "อวิชชา"
ก็คือความเขลา ความไม่รู้ในธรรมชาติที่เป็นจริง
ไม่รู้ในทุกข์ ไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ ไม่รู้ว่าการดับทุกข์มีอยู่
และไม่รู้ หนทางที่จะนำไปสู่การดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง

มันเลยวนเวียนอยู่เช่นนี้ เกิด-อยู่-ดับ นับรอบไม่ไหว
เวียนวน จนไม่อาจรู้ต้นสายเลย ...

อวิชชา จึงเป็นปัจจัยแห่ง สังขาร
สังขาร > วิญญาณ > นามรูป > สฬายตนะ > ผัสสะ >
เวทนา > ตัณหา > อุปาทาน > ภพ (กรรม + อุปัตติ) >
ชาติ > ชรา มรณะ โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส

เมื่อทำความเข้าใจหลักของ “ปัจจัย” นี้ และเห็นตาม
ก็มีแต่พยายามที่สุด ที่จะตัดวงจร “เกิด-ดับ” นี้เสีย ...

ปฏิจจสมุปปาท ไม่ใช่เรื่องง่าย ...
พึงศึกษา เพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้ง จะช่วยต่อการปฏิบัติ


ขอความเจริญในพุทธธรรม จงมีแก่ทุกท่าน

ไม่มีความคิดเห็น: