วันอังคาร, กรกฎาคม 29, 2557

กัมมัฏฐาน

“...ที่ตั้งแห่งการงาน...”
อันจะให้ถึง ฌาน และ มัคค-ผล นิพพาน 

ดังนั้น ...
กัมมัฏฐาน หรือ “ภาวนา”  จึงมี ๒ ... คือ เพื่อให้ถึง
“ฌาน” ๑  และ  ให้ถึง “มัคค-ผล-นิพพาน” ๑














“ ธรรมชาติใด อันบุคคลพึงอบรมให้เจริญ
  ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า ภาวนา (กัมมัฏฐาน)

  อันว่า เอกัคคตาเจตสิกสมาธิใด ยังกิเลสทั้งหลายให้สงบ
  เพราะเหตุนั้น เอกัคคตาเจตสิกสมาธินั้น ชื่อว่า “สมถะ”

  อันว่า ปัญญารู้ด้วยประการใด ย่อมเห็น สังขตธรรม
  ด้วยอาการต่างๆ มีความไม่เที่ยง เป็นต้น
  ปัญญานั้นชื่อ "วิปัสสนา”

   * * * * *

สมถะ คือ
การทำให้จิตสงบระงับ จากกิเลสทั้งหลาย
กระทั่ง จิต ไม่มีอาการดิ้นรน ไม่กระสับกระส่าย
ด้วยวิธีการ เพ่ง เอา “อารมณ์” มาเป็นกัมมัฏฐาน

อารมณ์ ที่ว่า มีบัญญัติไว้ ๔๐ อารมณ์
(กสิณ ๑๐,  อสุภะ ๑๐, อนุสสติ ๑๐, อัปปมัญญา ๔,
 อาหาร ๑, ธาตุ ๑, และ อรูป ๔)

อ้าว ... ถ้าเอา “รูปแม่” มาตั้ง แล้วเพ่งจน จิตนิ่ง
จะไม่ได้หรือ?  ทำไมต้อง อารมณ์ ๔๐ นี้เท่านั้นล่ะ?

คือ ต้องเข้าใจใน “กำลัง” ของอารมณ์ที่ เพ่ง นะครับ
มิได้ให้เพ่ง เพื่อจำหน้าใครให้ติดตา แต่เพื่อให้สงบ
เพ่ง ภาพแม่ เดี๋ยวก็หวนนึกถึง เรื่องราวของคุณแม่ไป
มันจะ สงบ ไม่ได้ ซีครับ

การทำสมาธิ “รูปฌาน” มี ๕ ระดับ (พระอภิธรรม)

ทั้ง ๔๐ มิใช่ จะกำหนดให้ไป “ถึง” ได้ทุกอารมณ์
กสิณ ๑๐ ทั้งหมด “เพ่ง” ไปได้ตลอด ถึงฌาน ๕
อสุภทั้ง ๑๐ เพ่งไปได้แค่ ฌาน ๑ (ปฐมฌาน) เท่านั้น
อนุสสติ ๑๐ ใช้ได้เพียง ๒ อารมณ์ คือ กายคตาสติ และ
อานาปานสติ  เพ่งได้จนถึง ปัญจมฌาน (ฌาน ๕)
เช่นนี้ เป็นต้น มิใช่ว่า จะใช้ได้หมด ทุกอารมณ์ ...











แล้วเอาเรื่องนี้ มาพูดทำไม?
ขอเรียนตามตรงนะครับ เพราะเห็นปัจจุบัน
หลายๆ ท่าน กล่าวถึงว่า ได้บรรลุขั้นนั้น ขั้นนี้แล้ว

ขออภัยนะครับ ...
บางทีถามไป ... ยังแยกไม่ออกเลย สมถะ–วิปัสสนา

ถามว่า ที่นั่งสงบ บอกว่า ทำสมาธิ นี่ ... สมาธิอะไรครับ?
ที่บอกว่า “กำหนดจิต” นี่ กำหนดมันว่าอย่างไร ครับ?
“ดูจิต” ก็เหมือนกัน ดูแล้ว ได้อะไรครับ?

บางท่านมาชวน ด้วยเมตตา “ไป ไป นั่งวิปัสนา กัน”
ผมก็ไม่กล้าถาม กลัวเพื่อนผู้หวังดี เสียกำลังใจ
แม้ในใจอยากถาม ... “นั่งอย่างไรครับ วิปสสนา นี้น่ะ?”

ขึ้นชื่อว่า “จิต” ต้องมี “อารมณ์” นะครับ ไม่มี ไม่ได้ !!!

แล้ว “อารมณ์ ของ วิปัสสนา” คือ อะไร?
หลายๆ ท่าน ก็ยังไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้นะครับ

“วิปัสสนากัมมฏฐาน”
ที่ตั้งแห่งการงานทางใจ ที่จะให้รู้แจ้ง “รูปนาม “
เพื่อเห็นแจ้ง “ไตรลักษณ์”  เห็นแจ้ง “อริยสัจจ์”
เพื่อให้เห็นแจ้ง มัคค ผล “นิพพาน”

“อารมณ์ ที่ใช้ เป็นเบื้องต้น ก็คือ “รูป” และ “นาม”
“อารมณ์” เบื้องปลาย คือ “นิพพาน” อย่างเดียว

เอาอย่างนี้ นะครับ ... ทุกอย่างมีขั้นตอน
ขอให้ศึกษา “วิสุทธิ ๗” ให้ดี   จะเข้าใจ

เบื้องแรก บริสุทธิ์แรก คือ “ศีล”
และต้องเป็น จาตุบริสุทธิศีล คือ ๔ บริสุทธิ์ นะครับ

๑.      ปาฎิโมกขสีล – ศีลทั้งหลาย ๕, ๘, ๑๐, ๒๒๗
๒.     สังวรสีล – ระวัง กายวาจาใจ (ตา หู จมูก ...)
๓.     อาชีวปาริสุทธิสีล – บริสุทธิ์ในการเลี้ยงชีวิต
๔.     ปัจจัยนิสิตสีล – พิจารณาการเสพ ปัจจัยทั้ง ๔

ขอถามตรงนี้ ... ท่านแน่ใจไหมครับ 
จะผ่าน จาตุปาริสุทธิศีล ๔ นี้ไปได้

นี่แค่เบื้องต้น  ยังไม่ต้องพูดถึง “จิตวิสุทธิ”
และ วิสุทธิ อีก ๕ ที่เหลือ ...

ทำนองกลับกัน
ผมเอง ก็อาจถูกย้อนถาม ... มึง” เก่งนักเหรอ?
ก็ไอ้พวก ดีแต่ ปริยัติ “ปากคาบคัมภีร์” ใช่ไหม?
แล้วทำอะไรเป็นบ้าง ทำสมาธิ บ้างหรือเปล่า?
ทำถึงขั้นไหนแล้วล่ะ? ... อะไรทำนองนี้ ก็ได้ครับ

ก็ต้องขอตอบว่า ...
จาตุปาริสุทธิศีล ทั้ง ๔ ยังไม่ผ่านทั้งหมดเลยครับ !!!
แต่ว่า ค่อยๆ ทำคู่ขนาน ไปกับวิสุทธิอีก ๓ ได้ครับ ...
๑.      ศีลวิสุทธิ
๒.     จิตวิสุทธิ – อันนี้ ใช้สมถะ มาช่วยกำจัด นิวรณ์
๓.     ทิฏฐิวิสุทธิ – รู้แยก รูปนาม  
๔.     กังขาวิตรณวิสุทธิ – รู้ถึงปัจจัยแห่งการเกิด รูปนาม
อันที่ ๓-๔ พอเข้าใจมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น “ญาณ” รู้

ส่วน “วิสุทธิ” ที่เหลืออีก ๓ (หากผ่าน ๔ วิสุทธิแรกได้)
ถ้ามีกำลัง วาสนา จะทำต่อ ภพนี้-ชาตินี้แหละครับ
ถ้าหมดกำลัง วาสนา ก็เก็บไว้ทำ ภพ-ชาติ ต่อๆ ไป












ส่วนจะได้ทำจริงเมื่อไหร่?  
ภพ-ชาติหน้า จะมีโอกาสหรือ?
ต้องไปถาม “วิบาก” มันจะยอมให้ลงที่ไหน เมื่อไหร่น่ะครับ
ผม ... หมด ปัญญาตอบ

ครับ ...
ก็หวังว่า หลายๆ ท่านได้อะไรจากที่เขียนนี้บ้าง
ไม่มาก ก็น้อย ... ก็เท่านั้นครับ
ที่สำคัญ เราหลอกตัวเรงเอง ไม่ได้ครับ


ขอความเจริญในพุทธธรรม จงประสบแก่ท่าน

ไม่มีความคิดเห็น: