มาทบทวน โอวาทในช่วงสุดท้าย
ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
อ่านอีกกี่ครั้ง ก็ซาบซึ้งในเมตตาจิต ของท่าน ...
ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
อ่านอีกกี่ครั้ง ก็ซาบซึ้งในเมตตาจิต ของท่าน ...
".... แผ่นดินนับวันแคบ มนุษย์แม้จะถึงตาย ก็นับวันมากขึ้น
นโยบายในทางโลกีย์ใดๆ ก็นับวันประชันขันแข่งกันขึ้น
พวกเราจะปฏิบัติลำบากในอนาคต เนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม
เป็นไร่เป็นนา จะไม่วิเวกวังเวง
นโยบายในทางโลกีย์ใดๆ ก็นับวันประชันขันแข่งกันขึ้น
พวกเราจะปฏิบัติลำบากในอนาคต เนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม
เป็นไร่เป็นนา จะไม่วิเวกวังเวง
ศาสนาทางมิจฉาทิฐิ ก็นับวันจะแสดงปาฏิหาริย์
คนที่โง่เขลาก็จะถูกจูงไปอย่างโคและกระบือ
ผู้ที่ฉลาดก็เหลือน้อย
คนที่โง่เขลาก็จะถูกจูงไปอย่างโคและกระบือ
ผู้ที่ฉลาดก็เหลือน้อย
ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายจงรีบเร่งปฏิบัติธรรม ให้สมควรแก่ธรรม
ดังไฟที่กำลังไหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลันเถิด
ให้จิตใจเบื่อหน่ายคลายเมาวัฏสงสาร
ทั้งโลกภายในหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
ทั้งโลกภายนอกที่รวมเป็นสังขารโลก
ดังไฟที่กำลังไหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลันเถิด
ให้จิตใจเบื่อหน่ายคลายเมาวัฏสงสาร
ทั้งโลกภายในหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
ทั้งโลกภายนอกที่รวมเป็นสังขารโลก
ให้ยกดาบเล่มคมเข้าสู้ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พิจารณาติดต่ออยู่ไม่มีกลางวันกลางคืนเถิด
ความเบื่อหน่ายคลายเมาไม่ต้องประสงค์
ก็จะต้องได้รับแบบเย็นๆ และแยบคายด้วย
พิจารณาติดต่ออยู่ไม่มีกลางวันกลางคืนเถิด
ความเบื่อหน่ายคลายเมาไม่ต้องประสงค์
ก็จะต้องได้รับแบบเย็นๆ และแยบคายด้วย
จะเป็นสัมมาวิมุตติ และสัมมาญาณะอันถ่องแท้
ไม่ต้องสงสัยดอก
ไม่ต้องสงสัยดอก
พระธรรมเหล่านี้ไม่ล่วงไปไหน มีอยู่ ทรงอยู่ในปัจจุบัน
จิตในปัจจุบัน ที่เธอทั้งหลายตั้งอยู่
หน้าสติ หน้าปัญญา อยู่ด้วยกัน กลมกลืนในขณะเดียวนั้นแหละ..."
จิตในปัจจุบัน ที่เธอทั้งหลายตั้งอยู่
หน้าสติ หน้าปัญญา อยู่ด้วยกัน กลมกลืนในขณะเดียวนั้นแหละ..."
(บันทึกไว้โดยพระอาจารย์หล้า เขมปตฺโต)
เลยทำให้กระผมนึกถึง ...
นึกถึง “สัมมาสติ” หรือ “สติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง
นึกถึง “สัมมาสติ” หรือ “สติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง
กาเย กายา นุปสฺสี วิหรติ ...
อาตาปี สมฺปชาโน สติมา
วิเนยฺยโลเก อภิชฺฌา โทมนสฺสํ
วิเนยฺยโลเก อภิชฺฌา โทมนสฺสํ
เวทนาสุ เวทนา นุปัสสีวิหรติ ....
จิตเต จิตตา นุปสฺสีวิหรติ ...
ธมฺเม ธมฺมา นุปสฺสีวิหรติ ...
จิตเต จิตตา นุปสฺสีวิหรติ ...
ธมฺเม ธมฺมา นุปสฺสีวิหรติ ...
อาตาปี คือ ตบะ หรือความเพียร
สมฺปชาโน คือ สัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม
สติมา หรือ สติ ความระลึกรู้
รู้ที่จะมิให้เกิด อภิชฌา - ราคะ โลภะ และ
โทมนัส - โทสะ ความเกลียดโกรธ ชิงชัง พยาบาท
สมฺปชาโน คือ สัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม
สติมา หรือ สติ ความระลึกรู้
รู้ที่จะมิให้เกิด อภิชฌา - ราคะ โลภะ และ
โทมนัส - โทสะ ความเกลียดโกรธ ชิงชัง พยาบาท
ต้องใช้ความเพียร อย่างยิ่งยวด
นี่แหละที่ท่านพระอาจารย์มั่นกล่าวไว้ ...
“ไม่มีกลางคืน ไม่มีกลางวัน”
นี่แหละที่ท่านพระอาจารย์มั่นกล่าวไว้ ...
“ไม่มีกลางคืน ไม่มีกลางวัน”
ความเพียรอะไร? ...
ความเพียรที่จะต้องประคองทั้งสติ ทั้งสัมปชัญญะ
คือทั้งความระลึกได้ และรู้ตัวตลอดว่า ...
ปฏิบัติวิปัสสนาปัญญา
ความเพียรที่จะต้องประคองทั้งสติ ทั้งสัมปชัญญะ
คือทั้งความระลึกได้ และรู้ตัวตลอดว่า ...
ปฏิบัติวิปัสสนาปัญญา
แม้เมื่อยังต้องเกี่ยวพันอยู่กับโลกียะ
อย่างน้อยก็ขอมีเวลาเช้ามืด และก่อนนอน
ส่วนระหว่างวัน หาทุกโอกาสที่มี ดำรงสติ สัมปชัญญะ
อย่างน้อยก็ขอมีเวลาเช้ามืด และก่อนนอน
ส่วนระหว่างวัน หาทุกโอกาสที่มี ดำรงสติ สัมปชัญญะ
ไม่ง่าย ... แต่ก็ต้องเพียร
เพราะยังต้องอยู่ในโลกียะ
ยังต้องเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัว
เพราะยังต้องอยู่ในโลกียะ
ยังต้องเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัว
... ก็คงอีกไม่นาน
จะได้ใช้เวลาเต็มๆ ในสิ่งที่ต้องการ
บั้นปลาย ก็อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่แล้ว ...
จะได้ใช้เวลาเต็มๆ ในสิ่งที่ต้องการ
บั้นปลาย ก็อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่แล้ว ...
นิพฺพาน ปจฺจโย โหตุ
(เขียนไว้เมื่อ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๗
แก้ไขใหม่ วันนี้)
แก้ไขใหม่ วันนี้)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น