วันอังคารที่
๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗
หนามชีวิต
วันนี้ เพลงนี้ก้องอยู่ในจิต
พอรู้ประวัติมาบ้าง ว่าคุณชาลีอินทรวิจิตร ท่านแต่งคำร้อง
แต่งให้เป็นการเฉพาะ แด่คุณเพ็ญศรี พุมชูศรี และ
คุณสุวัฒน์ วรดิลก คู่ชีวิต
ทั้งสองต้องทนทุกข์ จากการกล่าวหา และถูกจองจำ
เลยต้องการศึกษาเพิ่มเติม
โชคดี วันนี้มีคุณ google คอยช่วย
ได้เข้าไปอ่าน ในเว็บเพจหนึ่ง
จะขอคัดการบรรยาย เหตุการณ์ ดังนี้ ครับ ...
วันนี้ เพลงนี้ก้องอยู่ในจิต
พอรู้ประวัติมาบ้าง ว่าคุณชาลีอินทรวิจิตร ท่านแต่งคำร้อง
แต่งให้เป็นการเฉพาะ แด่คุณเพ็ญศรี พุมชูศรี และ
คุณสุวัฒน์ วรดิลก คู่ชีวิต
ทั้งสองต้องทนทุกข์ จากการกล่าวหา และถูกจองจำ
เลยต้องการศึกษาเพิ่มเติม
โชคดี วันนี้มีคุณ google คอยช่วย
ได้เข้าไปอ่าน ในเว็บเพจหนึ่ง
จะขอคัดการบรรยาย เหตุการณ์ ดังนี้ ครับ ...

“...คุณเพ็ญศรี ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำลหุโทษ
เช้าวันที่ 12 มกราคม 2504 ภายหลังการจองจำครั้งที่สอง
เป็นเวลาสองปีเศษ
คุณถาวร สุวรรณ และ คุณปรีชา พิบูลย์เวช
สองนักจัดรายการวิทยุ ขับรถไปรอเธออยู่หน้าเรือนจำ
รับคุณเพ็ญศรี ไปอัดเสียงที่ช่อง 4 บางขุนพรหมทันที
เพื่อที่จะอัด เพลงหนามชีวิต ที่ คุณชาลี อินทรวิจิตร
และ คุณสมาน กาญจนะผลิน แต่งเนื้อร้องและทำนอง
เพื่อใช้เป็นเพลงประกอบ ละคร เรื่องหนามชีวิต
เมื่อไปถึง ก็มีการตระเตรียม ต่อเพลงฝึกซ้อมกัน
เธอสามารถทำได้อย่างเยือกเย็น
ราวกับไม่ได้เพิ่งออกมาจากเรือนจำ
เพลงหนามชีวิต ได้รับการแต่งขึ้น
เพื่อใช้เป็นเพลงนำและประกอบละคร
ผู้แต่ง ซึ่งรักและสนิทกับคุณเพ็ญศรี
รู้ดีในขณะแต่งว่า เพลงนี้ แต่งขึ้นเพื่อให้คุณเพ็ญศรี
ผู้มีชีวิตขมขื่นไม่ต่างจากนางเอกในละคร
จึงบรรจงใส่อารมณ์ทั้งหมด ลงไปอย่างสุดฝีมือ
“เกิดมาขื่นขม ระทมอุรา ตรมน้ำตา ตรมน้ำตา
ตรมน้ำตา โศกาทุกวัน...”
ทันทีที่เริ่มอัดเสียงจริง และคุณเพ็ญศรี เริ่มเปล่งเสียง
สะกดคนทั้งห้องให้เงียบกริบ มนต์เสน่ห์จากเสียง
อันเต็มไปด้วยอารมณ์ของเธอ ยังตรึงทุกคนได้เหมือนเดิม
“จะสุขอย่างไร จะสุขอย่างไร กันนั่น...”
ดูเหมือนว่า น้ำเสียงของเธอจะเครือลงกว่าเดิมเล็กน้อย
ทันใดนั้น เธอก็ร้องไห้ออกมาโฮลั่น
ทุกคนในห้องอัดเงียบกริบ คุณเพ็ญศรี ก้มลงจนตัวงอ
ความเข้มแข็งเยือกเย็นที่เห็นอยู่ภายนอก
อ่อนรูปลงมาเป็นน้ำตาทะลักทะลาย
นานกว่าเธอจะหยุดน้ำตาแห่งความขื่นขม
ตลอดระยะเวลาสามสี่ปีได้
ไม่มีใครสักคน ในห้องอัดเสียงกล้าทำอะไร
ทุกคนรู้ดีว่า เธอสมควรแก่การร้องไห้
และที่จริงจะยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำไป
ละครหนามชีวิต ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ท.ท.ท.
ทุกวัน จันทร์ ถึง ศุกร์ กลายเป็นละครยอดนิยม
มีคนฟังทั่วทุกหัวระแหง ...”
ครับ ... เป็นอย่างไรบ้างครับ
วันนี้ ผมนึกถึงเพลงนี้ นึกถึงคุณเพ็ญศรี
นึกถึงคุณ สุวัฒน์ วรดิลก
และอดีต อันสุดขมขื่น ที่มิสามารถบรรยาย
ก็ขอจบด้วยเนื้อร้อง ที่คุณชาลี อินทรวิจิตรแต่ง
คุณสมาน กาญจนผลิน สร้างทำนองบรรเลง ...
หนามชีวิต
เกิดมาขื่นขม ระทมอุรา
ตรมน้ำตา ตรมน้ำตา ตรมน้ำตา โศกาทุกวัน
จะสุขอย่างไร จะสุขอย่างไร กันนั่น
สุขเพียง ในฝันหรือไร
เปรียบดังชีวิต เหมือนมีขวากหนาม
ทรมาน ทรกรรม ทรกรรม เสียจนช้ำใจ
กว่าเราจะตาย กว่าเราจะตาย ไม่รู้เมื่อไหร่
โอ้ไฉน ชีวิต มันเป็นนายเรา
มีแต่น้ำตา เป็นเครื่องปลอบใจ
ให้คลายความช้ำ ทุกค่ำเช้า
เหมือนหนามชีวิต กรีดใจเป็นเป้า
ให้เราอับเฉา ระทม
หวั่นไหว วาบหวาม หนามชีวิตเอย
ครวญภิเปรย ความรักเอย ความรักเอย มิเคยภิรมย์
สุขเพียงชั่วคืน ชื่นเพียงชั่วคราวร้าวรานเหลือข่ม
โศกตรม แทบล้มประดาตายเอย
(เชิญทัศนาบทเพลงนี้ จาก YouTube เอานะครับ
และ ซึมซับ ความรู้สึก ขมขื่น ด้วยตัวท่านเอง)
- ต่อเนื่อง -
วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 22
ฉบับที่ 7815 ข่าวสดรายวัน
ราตรีนี้มืด
คอลัมน์ วัฒน์ วรรลยางกูร
ราตรีนี้มืดไม่เห็นเพ็ญโสม...ส่อง
ดารามิผ่องมืดมัวทั่วมุม
ร้อนรนหมองไหม้เหมือนไข้รุม
ฟ้าดำมิดมืดเหมือนม่านคลุม
อกเอยยิ่งคลุ้มกลุ้มรัญจวน
เพลง ฟ้าคลุ้มฝน เนื้อร้อง แก้ว อัจฉริยกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน เป็นเพลงโปรดของสุวัฒน์ วรดิลก ที่มักขอให้ภรรยาคือ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ร้องกล่อมใจที่เคยอ้างว้างในคุก
เรียงข้อมูลในประเด็น ศิลปินกับการเมือง จากสุเทพ วงศ์กำแหง มาถึงสุวัฒน์ วรดิลก และเพ็ญศรี พุ่มชูศรี ด้วยความรู้สึกว่าสวรรค์ยังไม่สว่าง ราตรียังมืดมิด จากยุคสุวัฒน์-เพ็ญศรี ต้องเข้าคุกด้วยคดีหมิ่นกษัตริย์
ถึงยุคที่กลุ่มนิติราษฎร์ เสนอให้ปรับปรุงกฎหมายหมิ่นฯ นี้ บรรยากาศครอบคลุมยังไม่เปลี่ยนแปลง เป็นบรรยากาศในยุคสมัยแห่งความกลัว
"พี่ติดคุกเพราะเรื่องตั้งชื่อแมว"
คอลัมน์ วัฒน์ วรรลยางกูร
ราตรีนี้มืดไม่เห็นเพ็ญโสม...ส่อง
ดารามิผ่องมืดมัวทั่วมุม
ร้อนรนหมองไหม้เหมือนไข้รุม
ฟ้าดำมิดมืดเหมือนม่านคลุม
อกเอยยิ่งคลุ้มกลุ้มรัญจวน
เพลง ฟ้าคลุ้มฝน เนื้อร้อง แก้ว อัจฉริยกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน เป็นเพลงโปรดของสุวัฒน์ วรดิลก ที่มักขอให้ภรรยาคือ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ร้องกล่อมใจที่เคยอ้างว้างในคุก
เรียงข้อมูลในประเด็น ศิลปินกับการเมือง จากสุเทพ วงศ์กำแหง มาถึงสุวัฒน์ วรดิลก และเพ็ญศรี พุ่มชูศรี ด้วยความรู้สึกว่าสวรรค์ยังไม่สว่าง ราตรียังมืดมิด จากยุคสุวัฒน์-เพ็ญศรี ต้องเข้าคุกด้วยคดีหมิ่นกษัตริย์
ถึงยุคที่กลุ่มนิติราษฎร์ เสนอให้ปรับปรุงกฎหมายหมิ่นฯ นี้ บรรยากาศครอบคลุมยังไม่เปลี่ยนแปลง เป็นบรรยากาศในยุคสมัยแห่งความกลัว
"พี่ติดคุกเพราะเรื่องตั้งชื่อแมว"
ไฉนกลายเป็นเรื่องติดคุกไปได้...
ตอบไม่ยาก เพราะมันจะหาเรื่องกันทางการเมือง อยู่คนละฝ่ายๆ ก็มุ่งพิฆาตเข่นฆ่าหาเรื่องจับเข้าคุก
การตั้งชื่อแมว ชื่อหมา ให้ความรู้สึกน่าเอ็นดูมากกว่า เกลียดเผด็จการแค่ไหน รับรองว่าคนปกติจะไม่ตั้งชื่อมันว่า "สฤษดิ์" หรอกครับ เพราะต้องใกล้ชิดกันทุกวัน
ทุกวันนี้ ผมเลี้ยงแมว ตั้งชื่อว่า พุ่มพวง ก็ไม่คิดว่าจะมีแฟนเพลงพุ่มพวงมามีปัญหาอะไรด้วย
เพราะเป็นชื่อจากความเอ็นดู ที่นางแมวมีนิสัยชอบ "กระแซะ"
ในมุมกลับ สมมติถ้าคนอย่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ตั้งชื่อแมวอย่างนั้นอย่างนี้ จะโดนคุกไหม
นี่คือเรื่องการเมือง ไม่ใช่เรื่องกฎหมาย นักกฎหมายตัวจริงเขาจึงปรารถนาจัดระเบียบการกฎหมาย ไม่ให้การเมืองมามั่ว
ยุคสมัยแห่งความกลัว ไม่ใช่จู่ๆ เกิดขึ้น แต่มันถูกวางแผนออกแบบสร้างขึ้นในแบบ "ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง" หรือไม่ก็ "ความเป็นไทยเมื่อวานซืน" จากสมัยการเมืองของเผด็จการ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.ศ.2501 เรื่อยมาถึง 6 ตุลาคม 2519 มาจนถึง 19 กันยายน 2549 ข่มขู่ให้กลัว เพียงแต่ว่า ในพ.ศ.หลังนี้ คนเริ่มไม่กลัว คนก็เลยล้นคุก
ตอบไม่ยาก เพราะมันจะหาเรื่องกันทางการเมือง อยู่คนละฝ่ายๆ ก็มุ่งพิฆาตเข่นฆ่าหาเรื่องจับเข้าคุก
การตั้งชื่อแมว ชื่อหมา ให้ความรู้สึกน่าเอ็นดูมากกว่า เกลียดเผด็จการแค่ไหน รับรองว่าคนปกติจะไม่ตั้งชื่อมันว่า "สฤษดิ์" หรอกครับ เพราะต้องใกล้ชิดกันทุกวัน
ทุกวันนี้ ผมเลี้ยงแมว ตั้งชื่อว่า พุ่มพวง ก็ไม่คิดว่าจะมีแฟนเพลงพุ่มพวงมามีปัญหาอะไรด้วย
เพราะเป็นชื่อจากความเอ็นดู ที่นางแมวมีนิสัยชอบ "กระแซะ"
ในมุมกลับ สมมติถ้าคนอย่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ตั้งชื่อแมวอย่างนั้นอย่างนี้ จะโดนคุกไหม
นี่คือเรื่องการเมือง ไม่ใช่เรื่องกฎหมาย นักกฎหมายตัวจริงเขาจึงปรารถนาจัดระเบียบการกฎหมาย ไม่ให้การเมืองมามั่ว
ยุคสมัยแห่งความกลัว ไม่ใช่จู่ๆ เกิดขึ้น แต่มันถูกวางแผนออกแบบสร้างขึ้นในแบบ "ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง" หรือไม่ก็ "ความเป็นไทยเมื่อวานซืน" จากสมัยการเมืองของเผด็จการ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.ศ.2501 เรื่อยมาถึง 6 ตุลาคม 2519 มาจนถึง 19 กันยายน 2549 ข่มขู่ให้กลัว เพียงแต่ว่า ในพ.ศ.หลังนี้ คนเริ่มไม่กลัว คนก็เลยล้นคุก
14 มีนาคม 2501 สุวัฒน์-เพ็ญศรี ถูกฟ้องในคดีหมิ่นกษัตริย์ เข้าคุกทันที ไม่มีประกัน ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกสุวัฒน์สามปี และปล่อยเพ็ญศรีพ้นข้อหาไป
มารุต บุนนาค ทนายว่าความในคดีนี้ ยืนยันชัดเจนว่าตามรูปคดี ท่านทั้งสองบริสุทธิ์
ตุลาคม 2501 สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเอง ในแบบเผด็จการเต็มตัว (อเมริกาและรอยัลลิสต์หนุนหลัง)
ยุคเผด็จการสฤษดิ์ ได้ "สร้างบรรยากาศเทิดทูนสถาบันกษัตริย์อย่างผิดสังเกต" (คำของ สุวัฒน์ วรดิลก)
และแล้ว คดีของสุวัฒน์ -เพ็ญศรี ก็ถูกนำขึ้นศาลอุทธรณ์ คราวนี้ ศาลตัดสินจำคุก สุวัฒน์-เพ็ญศรี คนละห้าปี
ชีวิตในคุกสองปีเศษ นักร้องเอก เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ทำหน้าที่ครูสอนภาษาไทยแก่นักโทษชาวเวียดนาม และฝึกวิชาพยาบาลขั้นต้น สามารถฉีดยาเข้ากล้าม และเข้าเส้นได้
11 มกราคม 2504 ศาลฎีกา ตัดสินจำคุก สุวัฒน์ ยืนตามที่ศาลอุทธรณ์ตัดสิน และปล่อย เพ็ญศรี พุ่มชูศรี เช้าวันที่ 12 มกราคม 2504
เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ออกจากเรือนจำลาดยาว มีผู้มารอรับคือ ถาวร สุวรรณ และ ปรีชา พิบูลย์เวช สองนักจัดรายการละครวิทยุ แห่งคณะ สุปรีดา มารับตัว เพ็ญศรี เพื่อไปบันทึกเสียงเพลงที่ช่อง 4 บางขุนพรหม ชื่อเพลงหนามชีวิต ประกอบละครวิทยุชื่อเรื่องเดียวกันกับเพลง
ผู้แต่งเนื้อร้องเพลงนี้คือ ชาลี อินทรวิจิตร เพื่อนสนิทของสุวัฒน์ วรดิลก แน่นอน
เป็นการแต่งแบบรู้ใจคนร้อง
เริ่มบันทึกเสียง เพ็ญศรี ร้องได้เพียงสามวรรค
"เกิดมาขื่นขมระทมอุรา
ตรมน้ำตา ตรมน้ำตา ตรมน้ำตาโศกา ทุกวัน
จะสุขอย่างไร จะสุขอย่างไรกัน..."
เพ็ญศรี พุ่มชูศรี เคยรำลึกความหลังเรื่องนี้ไว้ว่า ร้องเพลงหนามชีวิตไม่ทันจบวรรคที่สาม ก็ปล่อยโฮ เพราะนึกถึงสามีที่ยังอยู่ในคุก
สวรรค์ยังไม่สว่าง ราตรีนี้มืด ยุคสมัยแห่งความกลัวยังไม่สิ้น
*****
วันเสาร์ที่
๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗
สกุลกา
ทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา
มีข่าวเกี่ยวกับ นักกีฬา และผู้ฝึกสอน
อยู่ๆ ก็นึกถึงเพลงประทับใจในอดีต
ชื่อ “สกุลกา”
เป็นเพลงประกอบภาพยนต์ ชื่อเดียวกัน
ประพันธ์เพลงโดย ครูมงคล อมาตยกุล
ให้คุณสุเทพ วงศ์คำแหง ขับร้อง
เนื้อร้อง สั้นๆ แสดงการเปรียบเทียบ
ตรงไปตรงมา ง่ายๆ ...

สกุลกา ...
เห็นเจ้าเป็นกา อุตส่าห์จะให้เป็นหงส์
เสริมแซมลายลง คงศรีศักดิ์ปักษา
สอนบิน เจนอยู่ ปล่อยสู่ยังห้วงเวหา
เหลิง เลยทีท่า กลับหยามว่า แผ่นดิน
ประณาม ธรณี
หยามรังหยามที่ ให้มีราคิน
เริงเล่นเมฆา หลงว่าเคยชิน
สูงเกินบิน สิ้นแรง จากฟ้า
หวนคืน รังเก่า ที่เจ้าได้เคยจากมา
เพราะความเป็น กา ...
คนถึงว่าเจ้า “ทราม”
มีข่าวเกี่ยวกับ นักกีฬา และผู้ฝึกสอน
อยู่ๆ ก็นึกถึงเพลงประทับใจในอดีต
ชื่อ “สกุลกา”
เป็นเพลงประกอบภาพยนต์ ชื่อเดียวกัน
ประพันธ์เพลงโดย ครูมงคล อมาตยกุล
ให้คุณสุเทพ วงศ์คำแหง ขับร้อง
เนื้อร้อง สั้นๆ แสดงการเปรียบเทียบ
ตรงไปตรงมา ง่ายๆ ...

สกุลกา ...
เห็นเจ้าเป็นกา อุตส่าห์จะให้เป็นหงส์
เสริมแซมลายลง คงศรีศักดิ์ปักษา
สอนบิน เจนอยู่ ปล่อยสู่ยังห้วงเวหา
เหลิง เลยทีท่า กลับหยามว่า แผ่นดิน
ประณาม ธรณี
หยามรังหยามที่ ให้มีราคิน
เริงเล่นเมฆา หลงว่าเคยชิน
สูงเกินบิน สิ้นแรง จากฟ้า
หวนคืน รังเก่า ที่เจ้าได้เคยจากมา
เพราะความเป็น กา ...
คนถึงว่าเจ้า “ทราม”

ไม่ได้เจตนาเปรียบเทียบอะไรกับใครทั้งสิ้น
เพียงนึกถึง จึงเอามาสนทนากัน
บางครั้ง หรือหลายครั้ง “เรา” ก็ “ลืมตัว”
เคยได้ยินถึงขั้น หลงแม้กระทั่ง บุพพการี
ผู้มีพระคุณ หลงทำร้าย หลงด่าทอ
ก็พิจารณา ธรรมแห่ง โลกียะนี้เอานะครับ
เพียงเอามา “ฝาก”
* * * * *
๑๘
กรกฎาคม ๒๕๕๗
คิดถึงเพลง “กล้วยไม้” (๒๕๐๘)
ครูพรานบูรพ์ ผู้ประพันธ์ทั้งเนื้อร้อง และทำนอง
มีคุณ อารีย์ นักดนตรี เป็นผู้ขับร้อง
ชอบการบรรยายเชิง metaphor
ตัดพ้อต่อว่า ... แต่ละถ้อยความ เห็นภาพชัดเจน
ครูพรานบูรพ์ ผู้ประพันธ์ทั้งเนื้อร้อง และทำนอง
มีคุณ อารีย์ นักดนตรี เป็นผู้ขับร้อง
ชอบการบรรยายเชิง metaphor
ตัดพ้อต่อว่า ... แต่ละถ้อยความ เห็นภาพชัดเจน
เมื่อก่อน
“... อยู่ในดง ในดอน เจ้าซ่อนช่อ ซ่อนใบ
ไกลภู่ ไกลผึ้ง ... ใครจะเด็ด จะดมได้ เราไม่เห็นเลย”
ครั้นเมื่อ ...
“... เดี๋ยวนี้ ดูหรือ ... มาชูช่อ ชูใบ บานอยู่ในกระเช้า
ลืมดง ลืมดอน ที่เคยอยู่ก่อน อยู่เก่า
ภู่จะคลึง ผึ้งจะเคล้า เจ้าให้เฉาลง ...”
“... โอ้ กล้วยไม้เอย เจ้าไม่น่าเลย ที่จะมาใหลหลง
เจ้าลืมสุมทุม พุ่มพง ลืมดงดอย เอย ....”
ก็ปรับเข้าสภาวธรรม ...
จิตเดิมนั้น ประภัสสร เปล่งปลั่ง
เมื่อ กิเลส จรมา แล้วไปเกิด นันทิราคะ
หลงติด หลงเพลิดเพลิน อยู่กับมัน
เกิดวิปลาส เห็นว่าสวย เห็นว่าสุข
เห็นว่าเที่ยง เห็นว่ามันมีตัวมีตน
จิตที่ประภัสสร ก็หมดสง่า
ดั่ง “ภู่จะคลึง ผึ้งจะเคล้า ให้เจ้าเฉาลง”
* * * * *
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗
วังบัวบาน ...
วันนี้ คิดถึงเพลงนี้
คิดถึงเสียงขับร้องของ คุณมัณฑนา โมรากุล
คิดถึงเสียงดนตรีแห่งวง สุทราภรณ์ ที่บรรเลง
ที่สำคัญ คิดถึง และคล้อยตามจินตนาการ
ของบทเพลงในท่อนสุดท้ายมาก ๆ ...
ขอบอก ...
ปกติ ผมเป็นคนร้องเพลงได้เพราะมาก และจับใจ
ร้องเพลงนี้จบ สาวๆ ที่นั่งฟังด้วย น้ำตาปริ่มเลย
เพราะก่อนร้องเพลงนี้ จะเล่าประวัติคร่าวๆ ...
ของความยึดมั่นในรัก ในสัจจะ ของสาวน้อย
เมื่อต้องพรากจากคนที่รัก
ก็หวังพึ่งสถานที่ ที่ได้พบรัก เป็นที่จบชีวิตตน ...
น่าสงสารที่เธอเกิดก่อนหลายปี หลายๆ ปี
หากเป็นสมัยนี้ คงมีเพื่อนใน Face คอยปลอบโยน
คงมี ธรรม เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจ
คงตัดสินใจ ละ วาง เสียได้ ...
ขอจบด้วย บทบรรยาย ท่อนสุดท้ายของเพลง ...
... เอาวังน้ำใสเย็น นี่หรือมาเป็น เมรุทอง
เอาน้ำตกก้อง เป็น กลองประโคม
เอาเสียงจั๊กจั่น ลั่นร้องระงม
เป็นเสียงประโคม ร้องต่าง แตรสังข์
เพดาน นั้น เอาเมฆฟ้า
ภูผา นั้นต่าง ม่านบัง
ประทีปแสงจันทร์ ใสสว่าง
อยู่เดียว ท่ามกลาง ดงดอย ...
วันนี้ คิดถึงเพลงนี้
คิดถึงเสียงขับร้องของ คุณมัณฑนา โมรากุล
คิดถึงเสียงดนตรีแห่งวง สุทราภรณ์ ที่บรรเลง
ที่สำคัญ คิดถึง และคล้อยตามจินตนาการ
ของบทเพลงในท่อนสุดท้ายมาก ๆ ...
ขอบอก ...
ปกติ ผมเป็นคนร้องเพลงได้เพราะมาก และจับใจ
ร้องเพลงนี้จบ สาวๆ ที่นั่งฟังด้วย น้ำตาปริ่มเลย
เพราะก่อนร้องเพลงนี้ จะเล่าประวัติคร่าวๆ ...
ของความยึดมั่นในรัก ในสัจจะ ของสาวน้อย
เมื่อต้องพรากจากคนที่รัก
ก็หวังพึ่งสถานที่ ที่ได้พบรัก เป็นที่จบชีวิตตน ...
น่าสงสารที่เธอเกิดก่อนหลายปี หลายๆ ปี
หากเป็นสมัยนี้ คงมีเพื่อนใน Face คอยปลอบโยน
คงมี ธรรม เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจ
คงตัดสินใจ ละ วาง เสียได้ ...
ขอจบด้วย บทบรรยาย ท่อนสุดท้ายของเพลง ...
... เอาวังน้ำใสเย็น นี่หรือมาเป็น เมรุทอง
เอาน้ำตกก้อง เป็น กลองประโคม
เอาเสียงจั๊กจั่น ลั่นร้องระงม
เป็นเสียงประโคม ร้องต่าง แตรสังข์
เพดาน นั้น เอาเมฆฟ้า
ภูผา นั้นต่าง ม่านบัง
ประทีปแสงจันทร์ ใสสว่าง
อยู่เดียว ท่ามกลาง ดงดอย ...
* * * * *
๑๖
กรกฎาคม ๒๕๕๗
อวง-เอีย
อวง นี่เขาว่า เพศผู้
เอีย นี่เป็น เพศเมีย
นกเป็ดน้ำ Mandarin
ชาวจีนถือเป็นหนึ่งในมงคลของครอบครัว
อวง นี่เขาว่า เพศผู้
เอีย นี่เป็น เพศเมีย
นกเป็ดน้ำ Mandarin
ชาวจีนถือเป็นหนึ่งในมงคลของครอบครัว

เมื่อคู่สามี-ภรรยา ครองชีวิตกันอย่างเป็นสุข
เข้าใจในกันและกัน ผลัดกันโกรธบ้าง บางเวลา
เสริม “รสชาติ” ให้ชีวิตคู่
ครอบครัวก็เป็นสุข บุตรทั้งหลายก็เป็นสุข
การได้ (มิใช่เลือกนะครับ) คู่ครองที่ดี
เป็นวาสนา โดยแท้ ...
พระพุทธองค์ ท่านก็กล่าวถึงการครองคู่ ๔
๑. ชายเทพ – หญิงเทพ
๒. ชายมาร – หญิงเทพ
๓. ชายเทพ – หญิงมาร
๔. ชายมาร – หญิงมาร
คู่ที่มีความสุขมาก คงเป็นแบบที่ ๑
แต่ทั้งแบบ ๑ และ ๔ จึงครองเรือนด้วยกันได้
ด้วยมีลักษณะที่ต้องตรงกัน
ที่ว่า “มิใช่เลือกนะครับ” นั่นก็เพราะว่า
แม้จะเลือกเฟ้นอย่างไร ...
ก็อาจแปรเปลี่ยนไปจากที่คิดได้
ก็ภาวนาให้ที่มีแล้ว ครองคู่กันอย่างเป็นสุข
ที่ยังไม่มี หรือยังไม่มา ก็ขอให้ประสบโชคดี
แต่ที่สุดแล้ว ... ขอให้พิจารณาด้วยสติ
ที่ว่า ... นอกจาก “วิบาก” แล้ว
ไม่มี “เหตุบังเอิญ” ในชีวิตหรอก
เพียงแต่จะปรับ ให้อยู่กับวิบากนั้น เช่นไร
สวัสดีครับ
* * * * *
๑๖ กรกฎาคม
๒๕๕๗
River of no return (1954)
Robert Mitchum / Marilyn Monroe
Directed by Otto Preminger
อยู่ๆ ก็เกิด “ฮัม” เพลงนี้ขึ้นมา
เพลงชื่อเดียวกับภาพยนต์
คุณ Marilyn Monroe ขับร้องได้ซึ้งจริงๆ
หวนนึกถึงนักร้องสียงคล้ายๆ กันของไทย
คุณ พิทยา บุณยรัตพันธ์ ... เพลงโปรดก็ ...
คนึงหา ... จูบ ... อยากให้เขากอด
สำเนียงเสียงที่ออดอ้อน ยวนยั่วโสตประสาท
ชนิด สุดอารมณ์จริงๆ (หลงได้เลยล่ะ)
ไม่ได้ดูภาพยนต์เรื่องนี้หรอกครับ
ก็สร้างและฉายก่อนผมเกิด 1 ปี ไม่ทันหรอกครับ
แต่เพลงนี่ซิ ทัน และชอบมากๆ
เป็นหนึ่งใน Oldies but Goodies ที่โดนใจผมครับ
เอาเนื้อเพลงมาฝากกัน
ส่วนเพลง ก็ให้ “ท่อคุณ” (YouTube) ช่วยแล้วกันครับ ...
Robert Mitchum / Marilyn Monroe
Directed by Otto Preminger
อยู่ๆ ก็เกิด “ฮัม” เพลงนี้ขึ้นมา
เพลงชื่อเดียวกับภาพยนต์
คุณ Marilyn Monroe ขับร้องได้ซึ้งจริงๆ
หวนนึกถึงนักร้องสียงคล้ายๆ กันของไทย
คุณ พิทยา บุณยรัตพันธ์ ... เพลงโปรดก็ ...
คนึงหา ... จูบ ... อยากให้เขากอด
สำเนียงเสียงที่ออดอ้อน ยวนยั่วโสตประสาท
ชนิด สุดอารมณ์จริงๆ (หลงได้เลยล่ะ)
ไม่ได้ดูภาพยนต์เรื่องนี้หรอกครับ
ก็สร้างและฉายก่อนผมเกิด 1 ปี ไม่ทันหรอกครับ
แต่เพลงนี่ซิ ทัน และชอบมากๆ
เป็นหนึ่งใน Oldies but Goodies ที่โดนใจผมครับ
เอาเนื้อเพลงมาฝากกัน
ส่วนเพลง ก็ให้ “ท่อคุณ” (YouTube) ช่วยแล้วกันครับ ...
Hum..Hum..Hum..
If you listen, you can hear it call
wail-a-ree
There is a river, called the river of no return
Sometimes It's peaceful,and sometimes wild and free
Love is a traveler, on the river of no return
Swept on forever to be lost in the stormy sea
Wail-a-ree …
I can hear the river calls
(No return … No return)
no return no return
(Wail-a-ree) … I can hear my lover call
"come to me"
I lost my love on the river
And forever my heart will yearn
Gone, gone forever
down the river of no return
Wail-a-ree (Wail-a-ree )
Wail-a-ree
He'll never return to me.
พรุ่งนี้ หวังว่า จะได้ “ฮัม” เพลงใหม่ครับ
* * * * *
๙
กรกฎาคม ๒๕๕๗
หนึ่ง ... วิ่ง เพื่อรักษาชีวิต
อีกหนึ่ง ... ก็วิ่ง เพื่อความอยู่รอดของชีวิต
อีกหนึ่ง ... ก็วิ่ง เพื่อความอยู่รอดของชีวิต
กมฺมุนา วตฺตติ โลโก
สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม โดยแท้
เข้าใจธรรม ย่อมเข้าใจโลก
เข้าใจธรรม ย่อมไร้ ถูก-ผิด
“วัฏฏะ” นี้ วนมานับภพไม่ได้
ดั่งไม่มีต้น ไม่มีปลาย เวียนวนได้ด้วย กรรม-วิบาก
น่าดีใจ ...
ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์
ที่ได้อยู่ใต้ร่มพุทธศาสนา
ที่ได้ฟังธรรม เรียนรู้ธรรม
น่าเสียดาย ...
แม้ได้เกิดเป็นมนุษย์ แต่ไม่อยู่ในที่อันควร
แม้อยู่ท่ามกลางพุทธธรรม แต่ทำลายโอกาสไปเสีย
โลกียะ กว้างไกล ลึกล้ำ
มิอาจรู้ได้ ถึงผลแห่งกรรมที่ได้กระทำแล้ว
มิอาจรู้ได้ จะมีโอกาสที่ดี เช่นนี้ อีกหรือไม่
ปัจเจกชน ล้วนพึงพิจารณา
ด้วยธรรม ธรรมชาตินั้น เป็นของกลาง
มีโอกาสแล้ว จะหยิบฉวย หรือไม่ ... อยู่ที่ตน
* * * * *
๘
กรกฎาคม ๒๕๕๗
Angry Bird
จริงหรือที่เขาว่า เจ้า ขี้โมโห
ชีวิตเจ้า เต็มไปด้วย โทสะ ตลอดเวลางั้นหรือ?
หรือคนที่ “ขนานนาม” ให้เจ้า เขาเห็นตอนเจ้าเกิดโทสะ
แล้ว “บัญญัติ” นิยามเจ้าเลยว่า “Angry Bird”
ชีวิตเจ้า เต็มไปด้วย โทสะ ตลอดเวลางั้นหรือ?
หรือคนที่ “ขนานนาม” ให้เจ้า เขาเห็นตอนเจ้าเกิดโทสะ
แล้ว “บัญญัติ” นิยามเจ้าเลยว่า “Angry Bird”
เจ้ามี ช่วงของเวลาที่เกิด โลภะ ไหม? มีโมหะ ความหลงบ้างไหม?
หรือด้านบวกล่ะ? เจ้ามีเมตตาไหม? มีกรุณาไหม?
หรือว่า “เขา” คงไม่ได้เห็น ช่วงเวลานั้น ของเจ้าล่ะซี
ก็นั่นซินะ แม้บางคนยังถูกตราหน้าว่า เป็นพวกขี้โมโห
อารมณ์ร้ายตลอดชีวิต เป็นผู้ร้ายในสายตาตลอดกาล
ถ้าพูดได้ เจ้าอยากถามไหมว่า “ความเป็นธรรม” มีหรือเปล่า?
โลกนี้ ใยสัตว์ ต้องมองกันที่เปลือกนอก ในบางช่วงเวลา
แล้วไปสร้างบทสรุปกันเอง ...
มีใครกล้า “ตำหนิตน” บ้าง หือ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น