ท่านผู้รู้ส่วนใหญ่ที่คิดว่าทราบดี
คงไม่กังขาแล้ว
แต่ขออนุญาต
เผื่อมี ผู้ที่ยังไม่ทราบ แต่สนใจ
จึงขอ
เรียนรู้ไปพร้อมกับท่าน ที่สนใจด้วยเลย
มีคาถาบาลี
ข้อ ๑๔-๑๖
ในหนังสือ
พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๙
ที่กล่าวถึง
ขอเอาเฉพาะ ส่วนที่แปลแล้ว ...
“
ตามนัยแห่ง วิปัสสนากัมมัฏฐาน
เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งนั้น
พึงทราบว่า
ในเบื้องต้นตรัส
สีลวิสุทธิ
ต่อจากนั้นตรัส
จิตตวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ
กังขาวิตรณวิสุทธิ
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ
และ ญาณทัสสนวิสุทธิ
รวม
วิสุทธิ ๗ ประการ
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วโดยลำดับฉะนี้
”
เป็นการยืนยันว่า
การไปให้ถึง มรรค-ผล-นิพพาน
จะต้องดำเนินไปตามลำดับแห่ง
วิสุทธิ ๗ นี้ ครับ
ผิดไปจากนี้
นับว่า “ไม่ใช่ทาง” ไม่มี “ทางอื่น”
การที่จะ
ปฏิบัติ วิปัสสนา
เบื้องต้น
ต้องทำให้เห็น ไตรลักษณ์ ให้ได้ก่อน
จะเห็น
ไตรลักษณ์ ก็ต้อง “รู้” รูป และ นาม
รูป-นาม
นี้แหละ เป็นตัวเริ่มต้น วิปัสสนา
กรรมฐานในการเจริญ
วิปัสสนา คือ วิปัสสนาภูมิ
แปลว่า พื้นเพ ในการเจริญวิปัสสนา มี ๖ ประการ
ขันธ์
๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘
อริยสัจจ์ ๔
อินทรีย์
๒๒ และ
ปฏิจจสมุปปาท ๑๒
ทั้งหมด
ก็ลงอยู่ใน รูป และ นาม
เลือกพิจารณาเอา
ตามความถนัดของผู้ปฏิบัติ
ชั้นต้น
ต้องพิจารณาให้เห็น รูป-นาม แยกกัน ก่อน
(ตรงนี้แหละครับ
ทิฏฐิวิสุทธิ วิสุทธิตัวที่ ๓)
กำหนดดูต่อ
จนเห็น “ปัจจัย” ที่ทำให้เกิด รูป-นาม
(ตรงนี้แหละครับ
กังขาวิตรณวิสุทธิ วิสุทธิตัวที่ ๔)
จากนั้น
ก็พิจารณาให้เห็นแจ้ง ไตรลักษณ์ ว่า
รูป-นาม
มีลักษณะที่ ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้
บังคับบัญชาว่ากล่าวให้เป็นไปตามใจชอบก็ไม่ได้
เมื่อเพ่งจนเห็น
ไตรลักษณ์ได้แล้ว จะละทิ้ง ...
การเห็นผิด
การเข้าใจผิด และ การจำผิด ว่า ...
รูป-นาม
เป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นของเที่ยง
เป็นสุข
เป็นตัวตนที่บังคับบัญชาได้
การเห็นผิด
เข้าใจผิด จำผิดนี้เรียกว่า วิปัลลาสธรรม
คือเป็นสิ่งที่วิปลาส
คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง
เพราะ
... สภาพแห่งความเป็นจริงนั้น สิ่งทั้งหลาย
เป็นอสุภะ
ไม่สวยไม่งาม เป็นทุกขะ ไม่สุขไม่สบาย
เป็นอนิจจะ
ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน
ที่จะพึงบังคับบัญชาว่ากล่าวให้เป็นไปตามใจชอบได้
ต่อจากนี้ มีบาลีว่า
อนิจฺจานุปสฺสนา จ ตโต ทุกฺขานุปสฺสนา
อนตฺตานุปสฺสนา ติ ติสฺโส อนุปสฺสนา ฯ
“แต่นั้นพึงทราบ
อนุปัสสนา ๓ คือ
คือดู
เห็น พิจารณา “ไตรลักษณ์” ว่า รูป-นาม นี้
ไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
การกำหนดจนเห็นไตรลักษณ์นี้
ย่อมเห็น
แต่อย่างใดอย่างหนึ่ง
เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
การจะมาถึง
ณ จุดนี้ได้นั้น
จะต้องผ่าน
วิสุทธิมาแล้วถึง ๔
ถ้ายังไม่ถึง
ไปต่อไม่ได้ เด็ดขาดเลยครับ
มาถึงตรงนี้
ก็จะรู้ว่า ที่ปฏิบัติมา ใช่หรือ มิใช่ “ทาง”
(นี่คือ มัคคามัคคญาณทัสสนะวิสุทธิ วิสุทธิตัวที่ ๕)
(นี่คือ มัคคามัคคญาณทัสสนะวิสุทธิ วิสุทธิตัวที่ ๕)
วิปัสสนา
พิจารณาไตรลักษณ์ แห่ง รูป-นาม นี้
จะนำไปสู่
ปัญญา คือ ญาณ – รู้ ถึง ๑๐ ญาณ
(๑๐
ญาณนี้ ลงในปฏิปทาญาณทัสสนะวิสุทธิ ตัวที่ ๖)
ตรงนี้แหละ
ที่การปฏิบัติ เข้มข้น ด้วย ญาณ “รู้”
เมื่อสุดที่
“อนุโลมญาณ” เข้า “โคตรภูญาณ”
จากนั้น
“อารมณ์” จะเปลี่ยน จาก “ไตรลักษณ์”
มาเป็น
“นิพพาน” ตอนนี้ จะเป็นการเปลี่ยน “โคตร”
คือเปลี่ยนจาก
โคตรปุถุชน มาเป็น โคตรอริยชน
ถัดจากนั้นจะเป็น
ญาณ ที่เหลืออีก ๓ คือ
มัคคญาณ
ผลญาณ และ ปัจจเวกขณญาณ
นับว่าเข้าสู่
มรรค ผล แล้ว จนสุดที่ อรหัตตผล
(ญาณ
๓ นี้ เป็นวิสุทธิ ๗ คือ ญาณทัสสนวิสุทธิ)
ถ้าออกนอกไปจากแนวนี้
ไม่ใช่
“วิถีพุทธ” เพื่อความหลุดพ้นแน่
ไม่มี
“ทางอื่น” สู่ พระนิพพาน
และต้องเป็นไปตามลำดับแห่ง
วิสุทธิ ทั้ง ๗
ที่สำคัญ
ต้องเข้าใจด้วยว่า “ฌาน” มิใช่ “ญาณ”
“ฌาน”
ช่วยให้จิตสงบ และกำจัด นิวรณ์ได้
เช่นการทำ
อานาปานสติ กายคตาสติ
แต่ไปไม่ถึง
“นิพพาน” ถ้าพิจารณา เพียงเท่านี้
เพราะ
ฌาน ปฏิบัติให้เกิด “ปัญญา” ไม่ได้
ให้ทำฌานไปจนถึง
เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ที่สุดแล้ว
... ก็ ไม่ได้ถึงซึ่ง “พระนิพพาน”
ทั้งหมดนี้
มาจากการศึกษา “แนวทาง”
เพื่อการปฏิบัติได้ "ถูกต้อง"
จึง
ไม่ได้ขอให้เชื่อ ... แต่ขอให้ พิจารณา และศึกษา
การ
“ปฎิบัติ” เพื่อบรรลุถึงการ “ตรัสรู้” นั้น
มีแต่ ดำเนินตามแนว วิสุทธิ ๗ นี้
และด้วย “โพธิปักขิยธรรม ๓๗” เท่านั้น
ที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติ
ไปถึงจุดหมาย ได้แท้จริง
เป็น
เอกยนมรรค – คือ “หนทางเดียว”
ขอความเจริญในพุทธธรรม
จงบังเกิดแก่ท่าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น