วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 17, 2557

เร่าร้อน

บทสวดหลัก หลังจากสวดวัตรเย็นจบ
และบทอัญเชิญ ชุมนุมเทวดา เพื่อฟังธรรมแล้ว
เรามี ๓ บทหลักที่ขึ้นใจ ทั้งคำ และความหมาย
เวียนสวด สลับไปทุกๆ วัน

๓ บทคือ ... ธมฺมจกฺกปฺปวตนสุตฺต หนึ่ง
อนตฺตลกฺขณสุตฺต หนึ่ง ... ส่วนอีกหนึ่งคือ ...
อาทิตฺตปริยายสุตฺต ... บทบรรยายว่าด้วย “ความร้อน”
ความร้อนที่เผาผลาญ ดุจตะวัน

๒ บทแรก กล่าวถึงไปในคราวก่อนแล้ว
วันนี้ ขอกล่าวถึง บทสวด อาทิตฺตปริยายสุตฺต

บทสวดนี้ พระพุทธองค์ทรงแสดง ที่เมือง คยาสีสะ
ทรงแสดงแก่ อดีตชฎิล ๓ พี่น้องและบริวารอีก ๑ พัน
พร้อมทั้งมีประชาชนผู้ศรัทธาใน เหล่าชฎิล ทั้งหลาย












พระพุทธองค์ ทรงทราบด้วยญาณ ว่า ...
บรรดาผู้คนเหล่านี้ ต้องการรู้ ใคร “เหนือกว่า”
ซึ่งเป็นความสงสัยขั้นพื้นฐานของ ปุถุชนทั้งหลาย

อุรุเวลลกัสสป ก็มีญาณรู้ จึงแจ้งแก่น้องทั้งสอง และสาวก
ทั้งหมด ๑๐๐๓ รูป ผู้ซึ่งได้รับการบวชเป็นภิกษุแล้ว
จึงแสดงอิทธิ ลอยตัวขึ้นพร้อมกับกล่าว “ไตรสรณคมน์”
ยอมรับเอา พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
คลายความสงสัยในจิต ผู้คนทั้งหลาย

พระพุทธองค์ ได้แสดงศักยภาพ ในการเทศนา
ด้วยเหตุที่ อดีตชฎิลเหล่านี้ เคยนับถือบูชา “ไฟ”
ท่านจึงเทศนา เปรียบกับ “ความเร่าร้อน รุ่มร้อน”

เนื้อหาในบทเทศนา เริ่มจาก ...
     สพฺพํ ภิกฺขเว อาทิตฺตํ
ภิกษุทั้งหลาย สรรพสิ่ง ล้วนเป็นของร้อน
     กิญฺจ ภิกฺขเว สพฺพํ อาทิตฺตํ
ภิกษุทั้งหลาย อะไรเล่า ที่เป็นของร้อน?

จึงตรัสถึง ส่วนที่เรียกว่า อายตนภายใน ๖
คือ ... ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ จิต
ที่จะเกิดปะทะ สัมผัส (ผัสสะ) กับอายตนภายนอก ๖
คือ ... สี เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัสได้ และ ธรรมอารมณ์

การปะทะกันของอายตนะ แต่ละคู่ รวม ๖ คู่นี้
ทำให้เกิด การรู้ ... รู้ นั่นเป็น “ของร้อน”
ผัสสะ การสัมผัส ... นั่นก็เป็น “ของร้อน”
เวทนา – การเข้าไปเสวยอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น สุข พอใจ,
ทุกข์ ไม่พอใจ, หรือไม่รู้สึก สุขหรือทุกข์อะไร ...
นั่นก็ “ของร้อน”

ร้อน อะไร? ...
ก็ร้อนด้วย เพลิงราคะ เพลิงโทสะ เพลิงโมหะ ...
ร้อนด้วยความเกิด ความชรา ความตาย
ความทุกข์ โศก คับแค้นใจทั้งหลาย
นั่นแหละ ความรุ่มร้อน เร่าร้อน

มาถึงตรงนี้ ขอสร้างความเข้าใจ ...
“อายตนะ” ความหมายคือ “แดนติดต่อ”
“ผัสสะ” นี่คือการปะทะกันของแดนติดต่อ ใน-นอก

ตา กับ รูป ที่เห็น ... หู กับ เสียง ที่ได้ยิน ...
จมูก กับ กลิ่น ที่ได้สูดดม ... ลิ้น กับ รส ที่ได้ลิ้ม ...
กาย กับ สิ่งที่มากระทบ ที่ได้สัมผัส
ธรรมอารมณ์ คือความคิด ที่ จิต ได้ตรึก (นึก)

เหล่านั้นแหละที่เป็นเหตุให้เกิด “เวทนา” ความรู้สึก
รัก ชอบ (ราคะ) เกลียด โกรธ (โทสะ)
ความไม่รู้ถึงเหตุ ที่ต้อง รัก ชอบ เกลียด โกรธ (โมหะ)
เหล่านี้แหละ ที่เป็น “เพลิง” เผาใจตน ให้รุ่มร้อน

อันนำไปสู่ความอยาก ความยึด (ตัณหา อุปาทาน)
และนำไปสู่ “การสร้างกรรม” ที่จะนำไปสู่ ภพ ชาติ (เกิด)
เมื่อเกิด ย่อมเจ็บ แก่ ตาย ... ทุกข์ทั้งหลาย ระหว่างที่อยู่

ก็ต้อง ผัสสะ ต้อง เวทนา ต้อง ตัณหา ต้อง อุปาทาน
ต้องสร้างกรรม ต้องรับวิบากแห่งกรรม มิรู้สิ้นสุด

จึงพอจะเข้าใจ วัฏฏะ การเวียนวนนี้ นะครับ
ไม่สิ้นสุด ไม่มีสิ้นสุด หากไม่มี “อรหัตตมัคคญาณ” มาตัด

การได้มีโอกาส เกิดในดินแดนที่มีพระพุทธศาสนา
การได้เกิดเป็นมนุษย์ สามารถ สร้าง พอกพูน สติ-ปัญญา
การได้มีโอกาสศึกษา ฟังธรรม สนทนาธรรม
จะไม่นับว่าเป็น กุศลบุญของชีวิตหรือ?

จะทิ้งโอกาสดีๆ เช่นนี้ ไปหรือ?
คิดว่า จะได้โอกาสเช่นนี้ ในการ “เกิด” ครั้งต่อไปหรือ?

ก็ฝากไว้กับ การพิจารณา และตัดสินใจของแต่ละท่าน


ขอความเจริญในพุทธธรรม จงประสบแก่ทุกท่าน

ไม่มีความคิดเห็น: