“มันต้องเป็นไป
ตามกฎ อิทัปปัจจยตา”
คำกล่าวข้างต้นนี้
ถูกนำมาอ้าง นำมาใช้บ่อยมากๆ
จากท่านผู้รู้
เพื่ออธิบายให้ “ผู้ติดตาม” ทั้งหลาย
เข้าใจว่า
“ท่านรู้ดี” ในเรื่องนี้
ท่านสอนโดยอ้างหลัก
...
เพราะสิ่งนี้
มี – สิ่งนี้ สิ่งนี้ จึงเกิด ตามเหตุ ปัจจัย ...
“สิ่งนี้”
ของท่าน ท่านต้องรู้ว่า คืออะไรนะครับ !!!
เพราะท่านเอาไป
“สอน” ผู้อื่นนี่
แล้วท่านก็สรุป
.... นี่แหละ อิทัปปัจจยตา
นี่แหละ
“ปฏิจฺจสมุปปาท” ...
เอาล่ะครับ
... สาธุ (ดีแล้ว) ...
ท่านรู้ไหม?
...
สัตว์ทั้งหลาย
(เว้นพระอรหันต์)
มีโมหะ
ความหลง ความโง่ ติดอยู่ในจิตตสันดาน
ด้วยอำนาจ
“โมหะ” ... จึงปิดบัง ๒ เรื่อง
๑
ไม่ให้เห็น โทษ ในการทำ บาปอกุศล
๑
ไม่ให้เห็น วัฏฏทุกข์ ในการทำ กุศลบุญ
ทำให้ต้องเวียนวนใน
ภวจักร หรือ วัฏฏะ นี้
โมหะ
นี้คือ “อวิชชา”
กรรมทั้งหลาย
ที่สัตว์กระทำ สำเร็จลงได้ด้วย “เจตนา”
คือเจตสิก
(สังขาร) ที่เกิดพร้อมจิต เมื่อกระทบ อารมณ์
เป็นสังขาร
ที่ปรุงให้จงใจในการกระทำ (กรรม) ให้สำเร็จ
เป็นบาป
๑ เป็นบุญ ๑ และเป็น อุเบกขา ๑
และกระทำได้ด้วย
กาย ๑ วาจา ๑ และ ใจ ๑
ท่านรู้หรือไม่ว่า
... สังขาร ๓ (บาป, บุญ, อุเบกขา)
และอีก
๓ (กายกรรม, วจีกรรม, และ มโนกรรม)
ก็คือ
“จิต (เจตนา) ๒๙” หรือ ที่เรียกว่า “กรรม ๒๙”
คือ
จิตอันเป็น “อกุศล ๑๒” และ “โลกียกุศล ๑๗”
ท่านต้องรู้ เพราะ ...
หากท่านไม่รู้ แสดงว่า ท่านก็ไม่ทราบรายละเอียด
ของ
ปฏิจจสมุปปาท จริงๆ
แล้ว
ท่านจะนำไปกล่าวอ้าง แนะนำผู้คน อย่างไรได้?
จากย่อหน้าของ
“โมหะ” มาสู่ ย่อหน้าเรื่อง “เจตนา”
อันนี้แหละ
ชื่อว่า ... อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา
สังขาร
ที่เรียกว่า เจตนา ๒๙ หรือ กรรม ๒๙ คือ
ส่วนของ
อกุศล บาป ชั่ว มี ๑๒ คือ ...
จิตโลภ
๘ จิตโกรธ ๒ จิตหลง ๒
ท่านทราบ
... เพราะท่านอ้างถึง ปฏิจฺจสมุปปาท
กุศลจิตอีก
๑๗ มาจาก ...
กามมหากุศลจิต
๘ เท่ากับ จิตโลภ เลย
เพียงแต่เปลี่ยน
“สัมปยุต” จาก “ทิฏฐิ” มาเป็น “ญาณ”
ส่วนอีก
๙ คือ รูปฌาน กุศลจิต ๕ + อรูปฌาน กุศลจิต ๔
เฉพาะ
“กุศลจิต” เท่านั้น ไม่นับ “วิบากจิต” และ “กิริยาจิต”
รวมแล้วเป็น
เจตนา (จิต) ๒๙ หรือ กรรม ๒๙
อันนี้
ท่านก็ต้องทราบ เพราะ ...
ท่านกล่าวอ้างถึง
ปฏิจฺจสมุปปาท บ่อยมากๆ
สังขารนี้
(เจตนา ๒๙) จะเป็น “ปัจจัยธรรม”
ให้เกิด
“ปัจจยุบบันธรรม” ชื่อว่า ... “วิญญาณ”
ในความหมายพระอภิธรรม
“วิญญาณ” นี้ก็คือ
จิต
(รวมเจตสิกที่ประกอบ) ทั้งหมด ๘๙ หรือ ๑๒๑
อันนี้
ท่านจะทำเป็นไม่รู้ ไม่ได้ ก็เพราะท่าน “ชอบอ้าง”
จากย่อหน้าที่ผ่านมา
ได้สรุป หลักที่สองของ กฎ คือ
“...สงฺขาร ปจฺจยา วิญฺญาณํ ...”
หลังจากนั้น
ท่านรู้ดี มันจะตามด้วย
วิญฺญาณ
>
นามรูปํ > สฬสยตนํ > ผสฺโส > เวทนา >
ตณฺหา
>
อุปาทานํ > ภโว > ชาติ
> ชรา มรณ ...
เช่นนี้
... ถูกต้องไหมครับ?
ท่านตอบตัวท่านเองเถิด
... ท่านรู้จริงแท้ แน่นอน
หากท่านเป็น
“ครู – ผู้สอน” จะวิชชาใดก็ตาม
ถาม
... ท่านไม่รู้ ไม่เคยศึกษา รายละเอียด
ในเรื่องที่ท่านจะสอน
“ศิษย์” ได้ไหมครับ ?
ขนาดรู้
แต่มี ความเปลี่ยนไปของ กฎเกณฑ์
ท่านอาจยังกังวลด้วยซ้ำ
หากมี คำถามจากศิษย์
ใช่ไหมครับ?
แล้วท่านก็
“ชอบใช้” วิธีง่ายๆ เลย คือ
อย่าไป
“ติดรายละเอียด” ต้อง “ทิ้งธรรม” “ลืมตำราซะ”
เอาเช่นนั้น
หรือครับ ?
นี่นะครับ
“ท่านอาจารย์” ?
บางท่าน
ยิ่งไปกว่านั้นอีก
เอา
คำสอน ลัทธิ ความเชื่ออื่น มาชี้แนะ
สรุปเลย
... นี่ก็เป็น วิถี ให้ถึงซึ่ง “นิพพาน” เช่นกัน
โอ
... เป็นเช่นนั้นเลย นะครับ !!!
ผมเองก็ศึกษามาบ้าง
ปรัชญาศาสนาเปรียเทียบ
กล้ากล่าวเลยว่า
ไม่มีคำสอนใด ตรง และมุ่ง “นิพพาน”
ความหลุดพ้น
พร้อมทั้ง อธิบายรายละเอียดยิบ
ได้เท่า
พระพุทธพจน์ พระพุทธโอวาท
ที่มีอยู่ใน
“พุทธศาสนา” ของเรานี้เลย กล้าท้า !!!
ด้วยเหตุนี้
... เมื่อรู้บ้าง จึงควรพูดเท่าที่รู้
เมื่อมีส่วนที่ไม่รู้
ผมไม่เคยอายที่จะบอกว่า
“อันนี้
ผมไม่รู้ครับ” ... มันไม่ยากเลยนะครับ
ไม่รู้สึกว่า
“เสียฟอร์ม” เพราะ ไม่มี “ฟอร์ม” อยู่แล้ว
ก็มันเป็น
“อนัตตา” มิใช่หรือ ... “ฟอร์ม” ก็ต้องไม่มีครับ
และหากท่านอยากศึกษาจริงเพื่อให้เกิด
“สัญญารู้”
คือ
รู้อย่างจดจำ เพื่อใช้นำมาเสนอ มาสอนผู้คน ...
เพื่อความเข้าใจที่ดี
ที่ถูกต้อง ... เป็น ฐาน ...
พระอภิธรรมนั้น
มีคำสอนมากมายหลายเรื่อง
มีมากถึง
๔,๒๐๐ พระธรรมขันธ์
กึ่งหนึ่ง
ของ พระไตรปิฎก “ทั้งตู้” !!!
จะศึกษาเรื่อง
“มหาปัฏฐาน” ซึ่งมีเรื่องราวของ
ปฏิจฺจสมุปปาท
และ ปัฏฐานนัย เพียงคัมภีร์เดียว ไม่ได้
เพราะยังมี
“คัมภีร์” อื่นๆ อีก ๖
ท่านอยากรู้จริงหรือเปล่า
???
มีตั้งแต่
จิต เจตสิก เวทนา เหตุ กิจ ทวาร อารมณ์
วัตถุ
วิถี วิมุตตวิถี รูป บัญญัติ นิพพาน สภาวธรรม ฯลฯ
แต่
ทั้งหมด ลงอยู่ที่ “รูป – นาม” และสุดท้ายทั้งหมด
ลงที
“จิต” ตัวเดียว ตัวเดียว เท่านั้น ... ๘๔,๐๐๐
โพธิปักขิยธรรม
๓๗ ทั้งหมดก็ต้องหลอมรวมเป็นหนึ่ง
คือ
“จิต” และเพ่งพิจารณา “นิพพาน” เป็นที่สุด
พระอภิธรรม
นั้นแปลว่า ธรรมอันประเสิรฐยิ่ง
มีจริง
เป็นจริง ... ศัพท์ คำ ทั้งหลาย ล้วนศักดิ์สิทธิ์
มิได้หมายความว่า
ห้ามเอามากล่าวถึง แต่ ...
มิควรอย่างยิ่งที่จะนำมา
“กล่าวอ้าง” เรื่อยเปื่อย
ต้องรู้ให้จริง
รู้ให้ถ่องแท้ มีความเข้าใจ
ผมก็รู้แค่
“หางอึ่ง” ... ในปรมัตถ์ธรรมนี้
คงต้อง "ปริยัติ" ไปจนถึง ที่สุดของชีวิต
คงต้อง "ปริยัติ" ไปจนถึง ที่สุดของชีวิต
พระอานนท์เอง
กล่าวหมิ่นแคลน ในคำสอน
เรื่อง
ปฏิจฺจสมุปปาท หลัก อิทปฺปจฺจยตา
ยังถูกพระพุทธองค์
กล่าวตำหนิ ร้ายแรง
เพราะ
พระธรรม ที่มอบให้นั้น ลึกซึ้งยิ่งนัก
จึงมิควรตำหนิ
ต่อว่า ใครเลย ถ้าเขาจะสนใจปริยัติ
ท่านไม่รู้เจตนา
ของผู้อื่นหรอก
ท่านควรดูแต่เจตนาตนเองก็พอ
...
ที่สำคัญ
...
อย่าได้ไปนึกเอาเองนะ
ว่า ท่านอื่น ไม่ “ปฏิบัติ”
มีแต่ท่านเท่านั้น
... หรือ???
"ปฏิบัติ" ไม่จำเป็นต้อง "รอ" ให้จบ "ปริยัติ" ก่อนครับ
"ปฏิบัติ" ไม่จำเป็นต้อง "รอ" ให้จบ "ปริยัติ" ก่อนครับ
ขอความเจริญในพุทธธรรม
จงประสบแก่ท่าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น