หากผู้คนทั่วไป
กล่าวถึง “จิต”
ก็พอเป็นที่เข้าใจในความหมายที่ต้องการสื่อ
แต่หากกล่าวถึง
ในเชิง “พุทธศาสนา” แล้ว
เป็นเรื่องที่พึงต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้
พระพุทธองค์
ท่านนับเอา “จิต” เป็น ๑ ใน ๔
แห่ง
ปรมัตถ์ธรรม – คือธรรมอันสูงสุด เป็นจริง
มิใช่
“บัญญัติธรรม” ที่ผู้คน ตั้งชื่อ เรียกขาน
หากไม่เข้าใจถึง
“จิต” ยากที่จะเข้าใจในพุทธธรรม
จิต
จึงถูกนำมาเป็น “บทเรียนเบื้องต้น”
และยังต้องศึกษา หลักธรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับมัน
จิต
ก็คือ ธรรม เป็นธรรมชาติหนึ่ง
ธรรมชาติที่
รู้ จำ และ คิด “อารมณ์”
จึงพอเข้าใจในเบื้องต้นนี้ได้ว่า
มี ๒ ธรรมชาติ
ธรรมชาติหนึ่งคือ
“อารมณ์” อีกหนึ่งคือ “จิต”
อารมณ์
อะไร?
สรรพพสัตว์
โดยทั่วไป กอรปด้วย รูปและนาม
(ขอไม่กล่าวถึง
บางสัตว์ มีแต่รูป ไม่มีนาม
ชื่อ อสัญญีสัตตพรหม และ ที่มีแต่นาม ไม่มีรูป
คือ อรูปพรหมทั้ง ๔)
เมื่อมีรูปนาม
ย่อมมี “อายตนะภายใน”
อายตนะ
นี้ มีความหมายว่า เป็น “แดนติดต่อ”
ติดต่ออะไร?
ก็ติดต่อตัวมันเอง กับ สิ่งที่มากระทบ
(เรียกว่าเป็น
“อายตนะภายนอก”)
ดังนั้น
ที่เรารู้กัน จับคู่ของมันให้กัน คือ ...
ตา-รูป
/ หู-เสียง / จมูก-กลิ่น / ลิ้น-รส /
กาย-สิ่งสัมผัส
/ และ ใจ-ธรรมารมณ์
จิตรู้
การกระทบกันของแดนติดต่อ ทั้งสองฝ่าย
รู้แล้วเป็นอย่างไร?
ถ้าเป็นปุถุชน
ที่มิได้ใช้การพิจารณาที่แยบคาย
(ศัพท์พระธรรมท่านเรียก
โยนิโสมนสิการ)
และด้วยความที่
ผูกพัน ติดอยู่ใน จักรภพ
คือติดการเวียนเกิด-เวียนตาย
นับหลายกัปป์กัลป์
ความคุ้นชิน
ก็จะพา “หลง” ไปตามการกระทบนั้น
เมื่อมันกระทบ
... จิต มันคุ้น มันรู้ว่า ...
นี่ดี
อย่างนี้ ดี ... นี่ไม่ดี อย่างนี้ ไม่ดี ... มันก็จะเป็นว่า
อันไหนดี
ก็ชอบ ก็อยาก ติดใจอยู่ในอันที่ชอบ
อันไหนไม่ดี
ก็เกลียดชัง ไม่อยากเจอ ไม่อยากอยู่ด้วย
นี่แหละ
ตอบคำถามว่า รู้แล้ว “เป็นอย่างไร?”
ก็มันชอบ
มันชัง ... มันอยาก มันไม่อยาก
แล้วต้องทำอย่างไรล่ะ?
... ก็ต้อง ศึกษา
ศึกษาอะไร?
ก็ศึกษา
เพื่อให้ “รู้ตามที่เป็นจริง”
แล้ว
“ตามที่เป็นจริง” น่ะ มันเป็นอย่างไรล่ะ?
ตามที่เป็นจริงก็คือ
... มี ธรรม ตัวหนึ่งชื่อ “ความไม่รู้”
เรียกตามภาษาพุทธธรรมว่า
“อวิชชา”
ไม่มีสิ่งใด
เกิดลอยๆ ขึ้นมาได้ ต้องมี ปัจจัย ให้เกิด
เมื่อพิจารณาลึกลงไป
ก็รู้ว่า “กรรม” คือการกระทำ
นี่แหละ
เป็นปัจจัยให้เกิด ผลแห่งกรรม คือ “วิบาก”
เมื่อรู้
เมื่อศรัทธา เมื่อมีความเชื่อ ว่า ...
กรรม
ย่อมนำมาซึ่ง วิบาก ... ก็เช่นนั้น
อะไรล่ะ
ที่มันเป็น ต้นเหตุ ให้ต้องสร้างกรรม?...
หลายๆ
ท่าน โดยเฉพาะที่ศึกษา หลัก ปฏิจฺจสมุปปาท
ย่อมเข้าใจถึง
“วัฏฏะ ๓” วัฏฏะ แปลว่า “วน เวียน”
แสดงว่า
มีสามสิ่ง ที่เป็นปัจจัยแก่กัน และทำให้ต้อง
เกิดวน
เกิดเวียน อยู่เช่นนี้ ไม่รู้ได้ถึงต้น ถึงปลายเลย
วัฏฏะ
๓ นั้นคือ ...
กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์
และ วิปากวัฏฏ์
บอกไม่ได้ว่า
ตัวใดเป็นตัวตั้ง เพราะมันวนอยู่เช่นนี้
หากจะอธิบาย
ก็ต้องว่า ...
กิเลส
(ราคะ โทสะ) เกิด ก็เป็นเจตนาให้สร้าง กรรม
กรรม
เมื่อทำแล้ว ย่อมเป็นปัจจัย ให้เกิด ผล คือวิบาก
และนี่แหละ
จึงกล่าวกันว่า ไม่มี “ความบังเอิญ” หรอก
ชีวิตที่เกิด
จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ... ไม่บังเอิญ
เกิดมาแล้วต้องผจญกับอะไรก็แล้วแต่
... ไม่บังเอิญ
ทุกอย่างที่มีขึ้น
ล้วนไม่บังเอิญ ก็เพราะ
ทุกอย่างล้วนเป็น
“ผลแห่งการกระทำในอดีต”
“จิต”
นั้น เป็น ธรรมชาติที่สั่งสม วิบาก กรรม และกิเลส
ไม่ว่าเมื่อใด
เมื่อมันเวียนมาเกิดอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ก็ต้องมีกิเลสติดมา
มาสร้างกรรม และต้องรับผลกรรม
แล้วจะรู้อย่างไร
จึงจะเกิดประโยชน์ และเว้นเสียจากวัฏฏะ?
ก็ต้องศึกษาให้รู้อย่างถ่องแท้
ถึง ธรรมชาติ ของมัน
ต้องรู้
จิต เป็นอย่างไร?
อย่าไปเที่ยวพูด
จิตว่าง จิตเดิม จิตที่ประภัสสรแท้
เราจะไปรู้
“จิต” ลักษณะดังกล่าวได้อย่างไรกัน
ในเมื่อ
ยังไม่ได้ศึกษามันให้ “รู้จริง” เลย
ยิ่งอยากจะไปให้ถึง
จิตว่าง จิตเดิมแท้ จิตที่เป็นพุทธะ
จะเป็นไปได้อย่างไร
เมื่อยังไม่รู้จักธรรมชาติ “จิต” ที่แท้
นอกจาก
จิต แล้ว...
ยังมีส่วนประกอบอื่นๆ
ที่มีอิทธิพล ต่อจิต
มีการปรุงแต่ง
(เจตสิก หรือสังขาร)
มีหน้าที่ของจิต
ที่แตกต่างกันไป ต่อแต่ละ อารมณ์
มีการสั่งสม
ทั้งที่เป็นบุญ และเป็นบาป
หากมีวิธีศึกษา
เพื่อให้จิตเป็นพุทธะ ได้โดยง่าย
จะมีประโยชน์อันใด
ที่พระพุทธองค์ ท่านต้องทรง
ใช้เวลามนุษยโลก
๓ เดือน เพื่อสาธยาย พระอภิธรรม
แบบ
วิตถารนัย (นัยพิศดาร) ให้ทั้งเทวดา และพรหม
ณ ตาวติงสภิภพ (ชั้นดาวดึงส์) ... ขณะเดียวกับที่ทรง
แบ่งภาคมาแสดงแก่พระสารีบุตร
โดยสังเขปนัย (ย่อ)
และที่พระสารีบุตร
ทรงแสดงแก่ศิษย์
ซึ่งตกทอดกันมาเป็นพระอภิธรรมถึงปัจจุบันนี้
โดย
นาติวิตถารนาติสังเขปนัย (กึ่งย่อกึ่งพิศดาร)
จนเป็น
พระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นี้
จะเสียเวลา
ทั้งสาธยาย และ จดจาร ไปทำไม
หากเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังบอกให้เอาไป
“เผา”
ให้เอาไป
“ทิ้ง” อย่า “บ้าตำรา”
มิใช่จะ
เผา หรือ ทิ้ง ไม่ได้ ...
ได้
... และย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เพราะมันเป็น อนัตตา
ไม่ต้องยึด
ไม่ต้องถือ “เมื่อเข้าถึง” ภาวะของความเป็น
“อเสขบุคคล”
(ผู้ที่ไม่ต้องศึกษาอีกแล้ว ผู้บรรลุแล้ว)
เช่นนี้
พระพุทธองค์ ท่านจึง บัญญัติ
คำว่า
“เสขบุคคล” บุคคลอันยังพึงต้องศึกษา
ต้องเข้าใจว่า
... พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์นั้น
ไม่มีผู้ใด
แต่งขึ้นมาเองได้ เว้นแต่ต้องอาศัย
พระสัพพัญญุตาญาณ
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
การเข้าถึง
พระพุทธศาสนานั้นมี ๓ ประการ คือ
ปริยัติศาสนา
– ศึกษาคำสอน
เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
เพื่อนำไปใช้ปฏิบัติ
ปฏิบัติศาสนา
– การปฏิบัติตามธรรม คือ
ปฏิบัติด้วย
ศีล สมาธิ และ ปัญญา
ปฏิเวธศาสนา
– ผลอันเกิดจากทั้งปริยัติ ปฏิบัติ
คือ
นวโลกุตรธรรม ๙ – มรรค ผล นิพพาน
ตั้งหัวเรื่องว่า
“จิต”
ยังไม่ได้ลงรายละเอียดเลย
มันยาวเกินไปแล้ว
จึงขอพัก
และจะมาทำความเข้าใจกับ “จิต” ต่อไป
ขอความเจริญในพุทธธรรม
จงบังเกิดแก่ท่าน
(เรื่องภาพ
... หลายๆ ท่านเข้าใจว่าจิตอยู่ที่สมอง
แต่สำหรับพุทธธรรม จิตนั้นมัน อสรีรํ ไร้รูปร่าง)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น