วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 31, 2557

เจตสิก - สังขาร ๓ ตัว ชวนพิจารณา

หมายเหตุ
วันนี้ ต้องใช้บทความเก่าที่เขียนเอาไว้ มาใช้ใหม่
จำได้ว่าเขียนตอนเดินทางไป สหรัฐอเมริกา เมื่อต้นปี
มีอยู่เช้าหนึ่ง ตื่นมาทำวัตร ปกติ
จิต ตอนนั้นมันไปสะดุด เรื่อง เจตสิก ๓ ตัว
ดังนี้ ครับ ...

ตอนที่สวดวัตรเช้า วันนี้
ไปนึกถึง “สังขาร” (เจตสิก – ตัวปรุง) ๓ ตัว คือ ...
เจตนา ๑, สติ ๑, และ ตัตตรมัชฌัตตา ๑

ที่เรียนรู้มา กรรมทั้งหลาย ที่แสดงออกด้วย กาย วาจา
ล้วนมาแต่ “เจตนา” ทั้งสิ้น ...

พระพุทธองค์ จึงตรัสว่า “เจตนานั้นแหละ คือ กรรม”
“ ...เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ
 เจตฺยิตฺวา กมฺมํ กโรติ
 กาเยน วาจาย มนสา จ ...”













“ภิกษุทั้งหลาย เราขอกล่าว เจตนา เป็นกรรม
เมื่อมีเจตนาแล้ว บุคคลย่อมทำกรรม
โดยทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ”

ขณะที่ “ทางโลก” เห็นว่า “คิด” เฉยๆ ไม่ผิด
ถ้าไม่ก้าวล่วงออกมาเป็น กายกรรม วจีกรรม

ฉะนั้น เราต้องเห็นว่า ในทางพระพุทธธรรม
การสำรวมระวัง (สังวร) นั้นสำคัญมาก
หากต้องการให้ “บริสุทธิ” แท้ๆ ต้องรวม “จิต”
คือ เจตนา นี้เข้าไปด้วย (เจตนา เป็นเจตสิกธรรม)

แล้วมาเกี่ยวอะไรกับประเด็นที่จะเขียนนี่ ...
คือผู้ศึกษา ก็ทราบดีว่า ในทางพุทธธรรมนั้น
พระพุทธองค์สอนให้ปฏิบัติเพื่อ “ความหลุดพ้น”
คือพ้นจากโลก หรือ โลกียะ เข้าสู่ โลกุตตร

การ “ทำดี” จึงไม่ใช่คำตอบสูงสุด เพราะ กรรม นั้น
จะดี จะชั่ว ย่อมเกิด “วิบาก” ของกรรม
การระมัดระวังมิให้จิต ไฝ่ไปทั้งในทางดี ทางชั่ว จึงสำคัญ

ประเด็นมันก็คือว่า การที่จะทำให้จิต สงบ ระงับ สำรวม
มันก็ต้องใช้เจตสิก ตัวที่ชื่อ “สติ” และต้องระวัง “เจตนา”
ทั้งไม่ให้ “คิดดี” และ “คิดไม่ดี”

แล้วจะให้คิดอะไรล่ะ?
เลยนึกถึงเจตสิกตัวที่ชื่อ “ตัตตรมัชฌัตตา” คือเป็นกลางๆ
















“กลาง” อีกแล้ว ?
อันนี้ ผมก็พิจารณาเอาเอง เป็นเรื่อง “ธมฺมวิจยโพชฺฌงค”
คือการ “วิจัยธรรม” ...

มาถึงตรงนี้ ก็เป็นเรื่องแต่ละบุคคล ล่ะครับ มิอาจก้าวล่วง
แต่ผม ก็พิจารณาของกระผม เช่นนี้
ผิด-ถูก ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ก็พอจะรู้เองว่าใช่ “ทาง” หรือไม่
ถ้า (คิดว่า) “ใช่” ก็เดินต่อ, ถ้า “ไม่ใช่” ก็พิจารณาธรรมใหม่

คิดเองว่า การก้าวเดินไปบนทางที่จะสู่การพ้นไปจากโลก ...
โลกในที่นี่ ความหมายคือ “สังขารโลก” นะครับ
คือ ต้องคิดให้พ้น “กรอบของภูมิ” ทั้งหลาย

ไม่ว่าจะเป็น “กาม”, “รูป”, หรือแม้แต่ “อรูป”
มันไม่ง่าย แต่มันต้องเดิน ถ้ามุ่งมั่นที่จะ “พ้น” ไปจริงๆ
ก็ค่อยๆ เดินไปครับ สำหรับคนที่ยัง “ติด” อยู่กับ “โลก”
เช่นกระผม ...

ดีกว่าเก่ามากครับ
เมื่อก่อน “สติ” มันไม่มีเอาเสียเลย
เดี๋ยวนี้ นับว่ามันช่วย “ยั้ง” ได้เยอะ มันก็เพลิน
อยากให้มัน “ยั้ง” ได้นานขึ้น ได้บ่อยครั้งขึ้น
ก็เพิ่งเริ่มฝึกไม่นาน ได้แค่นี้ ก็พอใจที่ได้ฝึก
ฝึกไปไม่หยุด เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ สะสม เพิ่มพูนไปเอง

เอาล่ะครับ ชักจะยาว เดี๋ยวหาลานจอดไม่ได้
ก็ถือเสียว่า แบ่งปันความคิดเห็นกันนะ ขอรับ


ขอความเจริญในพุทธธรรม จงประสบแก่ท่านทั้งหลาย

วันพุธ, กรกฎาคม 30, 2557

วิปัสสนากัมมัฏฐาน

ท่านผู้รู้ส่วนใหญ่ที่คิดว่าทราบดี คงไม่กังขาแล้ว

แต่ขออนุญาต เผื่อมี ผู้ที่ยังไม่ทราบ แต่สนใจ
จึงขอ เรียนรู้ไปพร้อมกับท่าน ที่สนใจด้วยเลย

มีคาถาบาลี ข้อ ๑๔-๑๖
ในหนังสือ พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๙
ที่กล่าวถึง   ขอเอาเฉพาะ ส่วนที่แปลแล้ว ...















“ ตามนัยแห่ง วิปัสสนากัมมัฏฐาน
เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งนั้น พึงทราบว่า
ในเบื้องต้นตรัส สีลวิสุทธิ
ต่อจากนั้นตรัส จิตตวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ
กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ และ ญาณทัสสนวิสุทธิ
รวม วิสุทธิ ๗ ประการ
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วโดยลำดับฉะนี้ ”

เป็นการยืนยันว่า การไปให้ถึง มรรค-ผล-นิพพาน
จะต้องดำเนินไปตามลำดับแห่ง วิสุทธิ ๗ นี้ ครับ
ผิดไปจากนี้ นับว่า “ไม่ใช่ทาง” ไม่มี “ทางอื่น”












การที่จะ ปฏิบัติ วิปัสสนา
เบื้องต้น ต้องทำให้เห็น ไตรลักษณ์ ให้ได้ก่อน

จะเห็น ไตรลักษณ์ ก็ต้อง “รู้”   รูป และ นาม
รูป-นาม นี้แหละ เป็นตัวเริ่มต้น วิปัสสนา

กรรมฐานในการเจริญ วิปัสสนา คือ วิปัสสนาภูมิ
แปลว่า  พื้นเพ ในการเจริญวิปัสสนา  มี ๖ ประการ
ขันธ์ ๕     อายตนะ ๑๒     ธาตุ ๑๘     อริยสัจจ์ ๔
อินทรีย์ ๒๒   และ   ปฏิจจสมุปปาท ๑๒ 

ทั้งหมด ก็ลงอยู่ใน รูป และ นาม
เลือกพิจารณาเอา ตามความถนัดของผู้ปฏิบัติ

ชั้นต้น ต้องพิจารณาให้เห็น รูป-นาม แยกกัน ก่อน
(ตรงนี้แหละครับ ทิฏฐิวิสุทธิ   วิสุทธิตัวที่ ๓)

กำหนดดูต่อ จนเห็น “ปัจจัย” ที่ทำให้เกิด รูป-นาม
(ตรงนี้แหละครับ กังขาวิตรณวิสุทธิ วิสุทธิตัวที่ ๔)

จากนั้น ก็พิจารณาให้เห็นแจ้ง ไตรลักษณ์ ว่า
รูป-นาม มีลักษณะที่ ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้
บังคับบัญชาว่ากล่าวให้เป็นไปตามใจชอบก็ไม่ได้

เมื่อเพ่งจนเห็น ไตรลักษณ์ได้แล้ว จะละทิ้ง ...
การเห็นผิด การเข้าใจผิด และ การจำผิด ว่า ...
รูป-นาม เป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นของเที่ยง
เป็นสุข เป็นตัวตนที่บังคับบัญชาได้

การเห็นผิด เข้าใจผิด จำผิดนี้เรียกว่า วิปัลลาสธรรม
คือเป็นสิ่งที่วิปลาส คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง

เพราะ ... สภาพแห่งความเป็นจริงนั้น  สิ่งทั้งหลาย
เป็นอสุภะ ไม่สวยไม่งาม เป็นทุกขะ ไม่สุขไม่สบาย
เป็นอนิจจะ ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน
ที่จะพึงบังคับบัญชาว่ากล่าวให้เป็นไปตามใจชอบได้     

ต่อจากนี้  มีบาลีว่า
     อนิจฺจานุปสฺสนา  จ   ตโต ทุกฺขานุปสฺสนา
     อนตฺตานุปสฺสนา ติ   ติสฺโส อนุปสฺสนา ฯ
“แต่นั้นพึงทราบ อนุปัสสนา ๓ คือ
อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา”














คือดู เห็น พิจารณา “ไตรลักษณ์” ว่า รูป-นาม นี้
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์  เป็นอนัตตา
การกำหนดจนเห็นไตรลักษณ์นี้ ย่อมเห็น
แต่อย่างใดอย่างหนึ่ง เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

การจะมาถึง ณ จุดนี้ได้นั้น
จะต้องผ่าน วิสุทธิมาแล้วถึง ๔
ถ้ายังไม่ถึง ไปต่อไม่ได้ เด็ดขาดเลยครับ

มาถึงตรงนี้ ก็จะรู้ว่า ที่ปฏิบัติมา ใช่หรือ มิใช่ “ทาง”
(นี่คือ มัคคามัคคญาณทัสสนะวิสุทธิ  วิสุทธิตัวที่ ๕)

วิปัสสนา พิจารณาไตรลักษณ์ แห่ง รูป-นาม นี้
จะนำไปสู่ ปัญญา คือ ญาณ – รู้ ถึง ๑๐ ญาณ
(๑๐ ญาณนี้ ลงในปฏิปทาญาณทัสสนะวิสุทธิ ตัวที่ ๖)
ตรงนี้แหละ ที่การปฏิบัติ เข้มข้น ด้วย ญาณ “รู้”

เมื่อสุดที่ “อนุโลมญาณ” เข้า “โคตรภูญาณ”
จากนั้น “อารมณ์” จะเปลี่ยน จาก “ไตรลักษณ์”
มาเป็น “นิพพาน” ตอนนี้ จะเป็นการเปลี่ยน “โคตร”
คือเปลี่ยนจาก โคตรปุถุชน มาเป็น โคตรอริยชน

ถัดจากนั้นจะเป็น ญาณ ที่เหลืออีก ๓ คือ
มัคคญาณ ผลญาณ และ ปัจจเวกขณญาณ
นับว่าเข้าสู่ มรรค ผล แล้ว จนสุดที่ อรหัตตผล
(ญาณ ๓ นี้ เป็นวิสุทธิ ๗ คือ ญาณทัสสนวิสุทธิ)

ถ้าออกนอกไปจากแนวนี้
ไม่ใช่ “วิถีพุทธ” เพื่อความหลุดพ้นแน่
ไม่มี “ทางอื่น” สู่ พระนิพพาน
และต้องเป็นไปตามลำดับแห่ง วิสุทธิ ทั้ง ๗

ที่สำคัญ ต้องเข้าใจด้วยว่า “ฌาน” มิใช่ “ญาณ”
“ฌาน” ช่วยให้จิตสงบ และกำจัด นิวรณ์ได้
เช่นการทำ อานาปานสติ กายคตาสติ
แต่ไปไม่ถึง “นิพพาน” ถ้าพิจารณา เพียงเท่านี้

เพราะ ฌาน ปฏิบัติให้เกิด “ปัญญา” ไม่ได้
ให้ทำฌานไปจนถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ที่สุดแล้ว ... ก็ ไม่ได้ถึงซึ่ง “พระนิพพาน”

ทั้งหมดนี้ มาจากการศึกษา “แนวทาง” 
เพื่อการปฏิบัติได้ "ถูกต้อง" 

จึง ไม่ได้ขอให้เชื่อ ... แต่ขอให้ พิจารณา และศึกษา

การ “ปฎิบัติ” เพื่อบรรลุถึงการ “ตรัสรู้” นั้น
มีแต่ ดำเนินตามแนว วิสุทธิ ๗ นี้
และด้วย “โพธิปักขิยธรรม ๓๗” เท่านั้น
ที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติ ไปถึงจุดหมาย ได้แท้จริง

เป็น เอกยนมรรค – คือ “หนทางเดียว”


ขอความเจริญในพุทธธรรม จงบังเกิดแก่ท่าน

วันอังคาร, กรกฎาคม 29, 2557

กัมมัฏฐาน

“...ที่ตั้งแห่งการงาน...”
อันจะให้ถึง ฌาน และ มัคค-ผล นิพพาน 

ดังนั้น ...
กัมมัฏฐาน หรือ “ภาวนา”  จึงมี ๒ ... คือ เพื่อให้ถึง
“ฌาน” ๑  และ  ให้ถึง “มัคค-ผล-นิพพาน” ๑














“ ธรรมชาติใด อันบุคคลพึงอบรมให้เจริญ
  ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า ภาวนา (กัมมัฏฐาน)

  อันว่า เอกัคคตาเจตสิกสมาธิใด ยังกิเลสทั้งหลายให้สงบ
  เพราะเหตุนั้น เอกัคคตาเจตสิกสมาธินั้น ชื่อว่า “สมถะ”

  อันว่า ปัญญารู้ด้วยประการใด ย่อมเห็น สังขตธรรม
  ด้วยอาการต่างๆ มีความไม่เที่ยง เป็นต้น
  ปัญญานั้นชื่อ "วิปัสสนา”

   * * * * *

สมถะ คือ
การทำให้จิตสงบระงับ จากกิเลสทั้งหลาย
กระทั่ง จิต ไม่มีอาการดิ้นรน ไม่กระสับกระส่าย
ด้วยวิธีการ เพ่ง เอา “อารมณ์” มาเป็นกัมมัฏฐาน

อารมณ์ ที่ว่า มีบัญญัติไว้ ๔๐ อารมณ์
(กสิณ ๑๐,  อสุภะ ๑๐, อนุสสติ ๑๐, อัปปมัญญา ๔,
 อาหาร ๑, ธาตุ ๑, และ อรูป ๔)

อ้าว ... ถ้าเอา “รูปแม่” มาตั้ง แล้วเพ่งจน จิตนิ่ง
จะไม่ได้หรือ?  ทำไมต้อง อารมณ์ ๔๐ นี้เท่านั้นล่ะ?

คือ ต้องเข้าใจใน “กำลัง” ของอารมณ์ที่ เพ่ง นะครับ
มิได้ให้เพ่ง เพื่อจำหน้าใครให้ติดตา แต่เพื่อให้สงบ
เพ่ง ภาพแม่ เดี๋ยวก็หวนนึกถึง เรื่องราวของคุณแม่ไป
มันจะ สงบ ไม่ได้ ซีครับ

การทำสมาธิ “รูปฌาน” มี ๕ ระดับ (พระอภิธรรม)

ทั้ง ๔๐ มิใช่ จะกำหนดให้ไป “ถึง” ได้ทุกอารมณ์
กสิณ ๑๐ ทั้งหมด “เพ่ง” ไปได้ตลอด ถึงฌาน ๕
อสุภทั้ง ๑๐ เพ่งไปได้แค่ ฌาน ๑ (ปฐมฌาน) เท่านั้น
อนุสสติ ๑๐ ใช้ได้เพียง ๒ อารมณ์ คือ กายคตาสติ และ
อานาปานสติ  เพ่งได้จนถึง ปัญจมฌาน (ฌาน ๕)
เช่นนี้ เป็นต้น มิใช่ว่า จะใช้ได้หมด ทุกอารมณ์ ...











แล้วเอาเรื่องนี้ มาพูดทำไม?
ขอเรียนตามตรงนะครับ เพราะเห็นปัจจุบัน
หลายๆ ท่าน กล่าวถึงว่า ได้บรรลุขั้นนั้น ขั้นนี้แล้ว

ขออภัยนะครับ ...
บางทีถามไป ... ยังแยกไม่ออกเลย สมถะ–วิปัสสนา

ถามว่า ที่นั่งสงบ บอกว่า ทำสมาธิ นี่ ... สมาธิอะไรครับ?
ที่บอกว่า “กำหนดจิต” นี่ กำหนดมันว่าอย่างไร ครับ?
“ดูจิต” ก็เหมือนกัน ดูแล้ว ได้อะไรครับ?

บางท่านมาชวน ด้วยเมตตา “ไป ไป นั่งวิปัสนา กัน”
ผมก็ไม่กล้าถาม กลัวเพื่อนผู้หวังดี เสียกำลังใจ
แม้ในใจอยากถาม ... “นั่งอย่างไรครับ วิปสสนา นี้น่ะ?”

ขึ้นชื่อว่า “จิต” ต้องมี “อารมณ์” นะครับ ไม่มี ไม่ได้ !!!

แล้ว “อารมณ์ ของ วิปัสสนา” คือ อะไร?
หลายๆ ท่าน ก็ยังไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้นะครับ

“วิปัสสนากัมมฏฐาน”
ที่ตั้งแห่งการงานทางใจ ที่จะให้รู้แจ้ง “รูปนาม “
เพื่อเห็นแจ้ง “ไตรลักษณ์”  เห็นแจ้ง “อริยสัจจ์”
เพื่อให้เห็นแจ้ง มัคค ผล “นิพพาน”

“อารมณ์ ที่ใช้ เป็นเบื้องต้น ก็คือ “รูป” และ “นาม”
“อารมณ์” เบื้องปลาย คือ “นิพพาน” อย่างเดียว

เอาอย่างนี้ นะครับ ... ทุกอย่างมีขั้นตอน
ขอให้ศึกษา “วิสุทธิ ๗” ให้ดี   จะเข้าใจ

เบื้องแรก บริสุทธิ์แรก คือ “ศีล”
และต้องเป็น จาตุบริสุทธิศีล คือ ๔ บริสุทธิ์ นะครับ

๑.      ปาฎิโมกขสีล – ศีลทั้งหลาย ๕, ๘, ๑๐, ๒๒๗
๒.     สังวรสีล – ระวัง กายวาจาใจ (ตา หู จมูก ...)
๓.     อาชีวปาริสุทธิสีล – บริสุทธิ์ในการเลี้ยงชีวิต
๔.     ปัจจัยนิสิตสีล – พิจารณาการเสพ ปัจจัยทั้ง ๔

ขอถามตรงนี้ ... ท่านแน่ใจไหมครับ 
จะผ่าน จาตุปาริสุทธิศีล ๔ นี้ไปได้

นี่แค่เบื้องต้น  ยังไม่ต้องพูดถึง “จิตวิสุทธิ”
และ วิสุทธิ อีก ๕ ที่เหลือ ...

ทำนองกลับกัน
ผมเอง ก็อาจถูกย้อนถาม ... มึง” เก่งนักเหรอ?
ก็ไอ้พวก ดีแต่ ปริยัติ “ปากคาบคัมภีร์” ใช่ไหม?
แล้วทำอะไรเป็นบ้าง ทำสมาธิ บ้างหรือเปล่า?
ทำถึงขั้นไหนแล้วล่ะ? ... อะไรทำนองนี้ ก็ได้ครับ

ก็ต้องขอตอบว่า ...
จาตุปาริสุทธิศีล ทั้ง ๔ ยังไม่ผ่านทั้งหมดเลยครับ !!!
แต่ว่า ค่อยๆ ทำคู่ขนาน ไปกับวิสุทธิอีก ๓ ได้ครับ ...
๑.      ศีลวิสุทธิ
๒.     จิตวิสุทธิ – อันนี้ ใช้สมถะ มาช่วยกำจัด นิวรณ์
๓.     ทิฏฐิวิสุทธิ – รู้แยก รูปนาม  
๔.     กังขาวิตรณวิสุทธิ – รู้ถึงปัจจัยแห่งการเกิด รูปนาม
อันที่ ๓-๔ พอเข้าใจมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น “ญาณ” รู้

ส่วน “วิสุทธิ” ที่เหลืออีก ๓ (หากผ่าน ๔ วิสุทธิแรกได้)
ถ้ามีกำลัง วาสนา จะทำต่อ ภพนี้-ชาตินี้แหละครับ
ถ้าหมดกำลัง วาสนา ก็เก็บไว้ทำ ภพ-ชาติ ต่อๆ ไป












ส่วนจะได้ทำจริงเมื่อไหร่?  
ภพ-ชาติหน้า จะมีโอกาสหรือ?
ต้องไปถาม “วิบาก” มันจะยอมให้ลงที่ไหน เมื่อไหร่น่ะครับ
ผม ... หมด ปัญญาตอบ

ครับ ...
ก็หวังว่า หลายๆ ท่านได้อะไรจากที่เขียนนี้บ้าง
ไม่มาก ก็น้อย ... ก็เท่านั้นครับ
ที่สำคัญ เราหลอกตัวเรงเอง ไม่ได้ครับ


ขอความเจริญในพุทธธรรม จงประสบแก่ท่าน