วันอังคาร, มิถุนายน 17, 2557

ปริยัติ - ปฏิบัติ ๑

ระยะนี้ เข้าไปอ่านการโพสท์ในหน้าสื่อมีเดียต่างๆ เกี่ยวกับธรรม
มีหลายความเห็น ที่แสดงเกี่ยวกับภูมิทางธรมมากมาย

ที่สำคัญระยะหลังๆ มานี้ มีโครงการทั้งตามวัด และสำนักต่างๆ
ประโคม โหม การสอนธรรม การปฏิบัติธรรม มีลูกศิษย์ลูกหามาก
ซึ่งแน่นอน เป็นเรื่องดี เรื่องที่ควรอนุโมทนาในกุศล

อย่างไรก็ตาม หากมีข้อคิด ข้อปฏิบัติ ที่อ่านแล้ว ดูแล้ว
น่าจะออกนอกแนว ก็มีเขียนกลับไปบ้าง
ซึ่งก็ได้รับการตอบกลับว่า ติดตำราบ้าง เมาตำราบ้าง
ดีแต่ปริยัติ ปฏิบัติเป็นหรือเปล่า? ... ทำนองนี้

เลยนึกอยากเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ...
ทำไมจึงเป็นปัญหาครับ ปริยัติ – ปฏิบัติ?

ถ้าดีแต่ศึกษา หากไม่นำมาปฏิบัติ ก็เป็นได้แค่ ... “คัมภีร์เปล่า”
อวดอ้างว่า ท่องเก่ง จำเก่ง หาประโยชน์อันใดมิได้

แต่ ... ปฏิบัติ โดยยังไม่รู้เรื่องแต่ต้นเลย คิดเอง เออเอง
หรือฟังท่านอาจารย์ของตน แล้ว ไม่ฟัง หรือศึกษาทางอื่น
มันก็อาจ ... “เข้ารกเข้าพง” เอาได้เช่นกัน นะครับ

คืออย่างนี้ ... ตั้งแต่พุทธกาลแล้ว ก็มีคำถามประเภท...
“การบรรลุ” นี่ “ฉับพลัน” เลยได้ไหม?
ซึ่งพระพุทธองค์ท่านก็สอนว่า มันเป็นเรื่องของการสั่งสม
ศึกษาธรรม-วินัย แล้วพึงนำไปปฏิบัติ

พอดีอ่านบทความจาก ‘Access to Inside’
เขียนท่อนท้ายคำนำส่วนที่ชื่อ Path to Freedom
ว่าด้วย Dhamma เรื่อง A Gradual Training ดังนี้ ...
(ขออภัย ที่ต้องยกเอาต้นฉบับภาษา นะครับ ...

Many westerners first encounter the Buddha’s teaching on meditation retreats, which typically begin with instructions in how to develop the skillful qualities of right mindfulness and right concentration.  It is worth noting that, as important as these qualities are, the Buddha placed them towards the very end of his gradual course of training.   The meaning is clear: to reap the most benefit from meditation practice, to bring to full maturity all the qualities needed for Awakening, the fundamental groundwork must not be overlooked.    There is no short-cutting this process.

ถอดความแบบ (งูๆ ปลาๆ) Mr. Google รวบรัดว่า ...
ฝรั่ง หลายคนมักเริ่มต้นศึกษาพุทธธรรมโดยการปฏิบัติ
การฝึกจิตให้เป็นสมาธิ (meditation) ซึ่งจะเป็นการพัฒนา
ทักษะในเรื่อง “สัมมาสติ” และ “สัมมาสมาธิ”
จึงเป็นเรื่องที่น่าจดจำไว้ว่า ในทักษะทั้งหลายในมรรค ๘
พระพุทธองค์ทรงวาง เรื่องทั้งสองนี้ ไว้ท้ายสุด เลย

ในแนวการสอนการฝึกแบบค่อยๆ เรียนรู้.
ความหมายมันชัดเจนก็คือ เพื่อนำไปสู่การฝึกเชิงสมาธินั้น
การศึกษาและปฏิบัติในทักษะต่างๆ เพื่อเป็นพื้นฐาน
จะละเลยไม่ได้    เพื่อที่จะได้เข้าถึง “การบรรลุธรรม”
มันไม่มี “ทางลัด” หรอก ครับ ในกระบวนการนี้

ถ้าเชื่อในพุทธธรรม ก็ย่อมมิอาจปฏิเสธคำสอนพระพุทธองค์
เมื่อศึกษา “วิสุทธิ ๗” ก็ย่อมกระจ่างว่า เริ่มจาก “ศีลวิสุทธิ”
ต่อด้วย “จิตวิสุทธิ” ก่อนจะไปถึง “ญาณวิสุทธิ” อีก ๕

ก็ถ้าในเมื่อ ศีล ยังขาดๆ พร่องๆ แล้ว
“จิต” มันจะ “วิสุทธิ” ไปได้อย่างไร ??? ล่ะครับ
และเมื่อ "จิต" ยังไม่ "วิสุทธิ" ... ยากแท้ที่จะได้ "ญาณวิสุทธิ"

ก็มีหลายท่านปุจฉาว่า จะเข้าวิปัสสนาเลยมิได้หรือ?
ปฏิบัติ โดยไม่ต้องศึกษาในรายละเอียดจะเป็นปัญหาอะไร?
... ที่จริง เรื่องนี้ มันก็พัวพันอยู่กับวิบากที่เป็นกุศลนะครับ
ผมเข้าใจเช่นนั้น ... คือ มันเป็นการสั่งสม
การสั่งสมนี่ มันข้ามภพ ข้ามชาติ นะครับ

และมันก็เป็น "ปัจจัตตัง" คือ แล้วแต่บุคคลเสียด้วย
บาลีท่านว่า "ปุพฺเพกตปุญฺญตา" 
ปุพเพ - กาลก่อน, กต - ทำ, ปุญญ - กุศล
ถ้าบุคคลได้ "สั่งสม" มาเป็นทุนแล้ว ก็จะเจริญต่อ

ผมเคยเปรียบเสมอๆ ว่า “สนามหลวง” มีอยู่
ถ้าตอนนี้ อยู่ บางกะปิ ใครถนัดเส้นทางไหนก็ไปเถิดครั
ไปให้ถึง “สนามหลวง” ถึงช้า ถึงเร็ว
แม้ตายแล้วก็ยังไปไม่ถึง   ก็ไม่เป็นไร
ถ้า “จิต” มันแน่วแน่ ว่าต้องไป “สนามหลวง” ให้ได้
ภพหน้า ชาติหน้า มันก็มาต่อ เพราะ “จิต” มันมุ่งมั่นว่าต้องไปถึง

เพราะบาลี ท่านว่า ...
มโนปุพฺพงฺคมาธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
ธรรมทั้งหลายมีใจนำหน้า ใจเป็นใหญ่ สำเร็จลงได้ด้วยใจ ...

เอาเถอะครับ วิธีใด หนทางใด ปฏิบัติแนวไหน ...
ขอให้ตั้งใจไปให้ถึง “สนามหลวง” กันเถิด ครับ

ตอนนี้ ผมเอง ยังไม่ได้ออกเดินทางเลยครับ
คือ ชอบศึกษาก่อนครับ ... ดูหลายๆ ทาง
ค่อยๆ ก้าว ค่อยๆ เดิน  เอาทางที่มันถูกจริงแท้
ที่สำคัญคือ ... ผม กลัว “หลงทาง” ครับ

แค่นี้ก่อนครับ พรุ่งนี้ต่อเรื่องนี้ให้จบ

สำหรับ ปริยัติ – ปฏิบัติ

ไม่มีความคิดเห็น: