มีญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนรุ่นพี่ที่นับถือ ถามว่า ...
พุทธศาสนา สอนเกี่ยวกับอะไร?
ด้วยความรู้ไม่มากนัก ก็ตอบท่านไปว่า ...
ผมเห็นว่าหลักๆ แล้ว พระพุทธองค์สอนแค่ ๒ เรื่อง
คือ ทุกข์ กับ การดับทุกข์
ผมเห็นว่าหลักๆ แล้ว พระพุทธองค์สอนแค่ ๒ เรื่อง
คือ ทุกข์ กับ การดับทุกข์
แล้วผู้ใหญ่ท่านนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
เออ ... ถ้าสอนเพียง ๒ เรื่องนี้
แล้วทำไม คำสอนมันยืดยาวเหลือเกิน
มีตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ล่ะ?
ก็ต้องเข้าใจว่า ใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี้
แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนหลักๆ
ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่อง กฎของสงฆ์
เพราะ คนหมู่มาก ต้องมีเกณฑ์กติกาที่ต้องใช้ดำเนินชีวิต
อันนี้เป็น “วินัย” กินพื้นที่ไป ๑ ใน ๔ คือ ๒๑,๐๐๐ ธรรมขันธ์
อีกส่วนหนึ่งก็เป็นการบันทึกเรื่องราวพร้อมพุทธเทศนาที่สำคัญ
เป็นส่วนของ “พระสูตร” บันทึก พุทธกิจ สังฆกิจ ครั้งพุทธกาล
ส่วนนี้ก็กินพื้นที่ ๑ ใน ๔ เท่าเทียมกับ พระวินัย
ส่วนที่สามนี่ นับเป็น หัวใจของพระพุทธศาสนา
เป็นส่วนของ ปรมัตถ์ธรรม ที่ชื่อ “พระอภิธรรม”
ธรรมอันยิ่งใหญ่ ว่าด้วย ความจริงแท้ ล้วนๆ
รูป นาม (จิต – เจตสิก) นิพพาน (การหลุดพ้นจาก วัฏฏทุกข์)
เทียบกับ “บัญญัติ” อันเป็นสมมติ ที่ถูกสร้างขึ้น (ไม่ใช่ สัจจธรรม)
ส่วนนี้กินพื้นที่ถึงกึ่งหนึ่ง ของพระไตรปิฎก คือ ๔๒,๐๐๐ ธรรมขันธ์
แค่ ทุกข์ กับ ดับทุกข์ กินเนื้อหามากมายขนาดนี้เลยหรือ?
ต้องเข้าใจว่า มันไม่มีอะไรเกิดลอยๆ ขึ้นมาหรอก
มันมีส่วนที่เป็นรายละเอียด สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน
พระอริยสัจจ์ ทั้ง ๔ ก็เริ่มจากทุกข์ แล้วก็ระบุ เหตุแห่งทุกข์
ครั้นเมื่อตรัสถึงการดับทุกข์ ก็ทรงแสดงหนทางที่จะไปถึง
เมื่อลงรายละเอียด จึงเป็นที่มาของทั้งหมดใน “พระอภิธรรม”
พระอภิธรรมปิฎกฉบับเต็ม
แล้วทำไม คำสอนมันยืดยาวเหลือเกิน
มีตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ล่ะ?
ก็ต้องเข้าใจว่า ใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี้
แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนหลักๆ
ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่อง กฎของสงฆ์
เพราะ คนหมู่มาก ต้องมีเกณฑ์กติกาที่ต้องใช้ดำเนินชีวิต
อันนี้เป็น “วินัย” กินพื้นที่ไป ๑ ใน ๔ คือ ๒๑,๐๐๐ ธรรมขันธ์
อีกส่วนหนึ่งก็เป็นการบันทึกเรื่องราวพร้อมพุทธเทศนาที่สำคัญ
เป็นส่วนของ “พระสูตร” บันทึก พุทธกิจ สังฆกิจ ครั้งพุทธกาล
ส่วนนี้ก็กินพื้นที่ ๑ ใน ๔ เท่าเทียมกับ พระวินัย
ส่วนที่สามนี่ นับเป็น หัวใจของพระพุทธศาสนา
เป็นส่วนของ ปรมัตถ์ธรรม ที่ชื่อ “พระอภิธรรม”
ธรรมอันยิ่งใหญ่ ว่าด้วย ความจริงแท้ ล้วนๆ
รูป นาม (จิต – เจตสิก) นิพพาน (การหลุดพ้นจาก วัฏฏทุกข์)
เทียบกับ “บัญญัติ” อันเป็นสมมติ ที่ถูกสร้างขึ้น (ไม่ใช่ สัจจธรรม)
ส่วนนี้กินพื้นที่ถึงกึ่งหนึ่ง ของพระไตรปิฎก คือ ๔๒,๐๐๐ ธรรมขันธ์
แค่ ทุกข์ กับ ดับทุกข์ กินเนื้อหามากมายขนาดนี้เลยหรือ?
ต้องเข้าใจว่า มันไม่มีอะไรเกิดลอยๆ ขึ้นมาหรอก
มันมีส่วนที่เป็นรายละเอียด สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน
พระอริยสัจจ์ ทั้ง ๔ ก็เริ่มจากทุกข์ แล้วก็ระบุ เหตุแห่งทุกข์
ครั้นเมื่อตรัสถึงการดับทุกข์ ก็ทรงแสดงหนทางที่จะไปถึง
เมื่อลงรายละเอียด จึงเป็นที่มาของทั้งหมดใน “พระอภิธรรม”
พระอภิธรรมปิฎกฉบับเต็ม
ส่วนตัวผม อ่านลำบาก เข้าใจยาก ก็เลยศึกษา เล่มย่อ
ชื่อว่า อภิธัมมัตถะสังคะหะ (อภิธมฺมตฺถสงฺคห)
รจนา (หรือเรียบเรียง) โดย พระอนุรุทธาจารย์
ท่านดำรงพรรษาในช่วงประมาณ ๙๐๐ ปี หลังพุทธปรินิพพาน
ท่านเองก็คงมีความเห็นด้วยจิตบริสุทธิ์ว่า
หากให้พุทธศาสนิกชน ศึกษา ธรรมอันประเสริฐ
จากคัมภีร์ พระอภิธรรมทั้ง ๗ คงเป็นเรื่องยากมากๆ
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ท่านได้ศึกษา และมีความแตกฉาน
จึงได้รจนาธรรม เป็นส่วนย่อของคัมภีร์พระอภิธรรม
ย่อออกมาเป็น ๙ ปริเฉท (บทใหญ่)
ลองศึกษาดูสักนิด แล้วจะเข้าใจ เพราะท่านรจนา เป็นส่วนๆ
รจนา (หรือเรียบเรียง) โดย พระอนุรุทธาจารย์
ท่านดำรงพรรษาในช่วงประมาณ ๙๐๐ ปี หลังพุทธปรินิพพาน
ท่านเองก็คงมีความเห็นด้วยจิตบริสุทธิ์ว่า
หากให้พุทธศาสนิกชน ศึกษา ธรรมอันประเสริฐ
จากคัมภีร์ พระอภิธรรมทั้ง ๗ คงเป็นเรื่องยากมากๆ
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ท่านได้ศึกษา และมีความแตกฉาน
จึงได้รจนาธรรม เป็นส่วนย่อของคัมภีร์พระอภิธรรม
ย่อออกมาเป็น ๙ ปริเฉท (บทใหญ่)
ลองศึกษาดูสักนิด แล้วจะเข้าใจ เพราะท่านรจนา เป็นส่วนๆ
เพื่อให้ผู้ศึกษาทำความเข้าใจในแต่ละเรื่อง ง่ายขึ้น
ถ้าใจเย็นๆ ค่อยศึกษาทีละเรื่อง จะสุข สงบ และลึกซึ้งยิ่ง
เอาแค่ปริเฉทแรก ที่ว่าด้วย “จิต” (จิตฺตสงฺคหวิภาค)
จะรู้ว่า “จิต” คืออะไร?
ธรรมชาติหนึ่งที่ “รู้อารมณ์” นี่ รู้อย่างไร? และอารมณ์อะไร?
อารมณ์ทั้ง ๖ นั้น มันมาอย่างไร?
ปริเฉทที่ ๒ จะรู้จัก “เจตสิก” หรือ ธรรมชาติ ที่ปรุงแต่งจิต
จิต มี ๘๙ ดวง (หรือ ๑๒๑ ดวง ถ้านับแบบพิสดาร)
เจตสิก ที่เกิดประกอบจิต มี ๕๒ ดวง
มีการจัดส่วนชัดเจน จิตอกุศล กุศล วิบาก กิริยา ฯลฯ
จะเข้าใจได้ว่า ทำไมเมื่อ ทวาร ๖ ปะทะ อารมณ์ ๖
จิต เข้าไปรู้ เกิด ผัสสะ (คือการสัมผัสถูกต้องของธรรม)
เป็นเหตุให้เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน (การยึดมั่น)
ทำให้เกิดการสร้างกรรม ก่อภพ จบลงด้วย ชาติ (การถือกำเนิดอีก)
ซึ่งเมื่อเกิด ก็ต้องมี ชรา มรณะ ทุกข์ทั้งหลาย
หลุดไม่พ้นจาก วัฏฏะทุกข์ นี้ เสียที
นอกจากได้ความรู้แล้ว เมื่อคิดพิจารณา ก็จะเกิดความสงบ
สงบจริงๆ สงบจากอะไรหรือ?
ก็สงบจาก โลกียธรรม
ค่อยๆ ศึกษาไป ค่อยๆ ปฏิบัติ ควบคู่ไป สะสมไว้
เป็นปัจจัย ให้นำไปสู่ที่สุดแห่งทุกข์ สู่การหลุดพ้นที่แท้จริง
นิพฺพาน ปจฺจโย โหตุ
ถ้าใจเย็นๆ ค่อยศึกษาทีละเรื่อง จะสุข สงบ และลึกซึ้งยิ่ง
เอาแค่ปริเฉทแรก ที่ว่าด้วย “จิต” (จิตฺตสงฺคหวิภาค)
จะรู้ว่า “จิต” คืออะไร?
ธรรมชาติหนึ่งที่ “รู้อารมณ์” นี่ รู้อย่างไร? และอารมณ์อะไร?
อารมณ์ทั้ง ๖ นั้น มันมาอย่างไร?
ปริเฉทที่ ๒ จะรู้จัก “เจตสิก” หรือ ธรรมชาติ ที่ปรุงแต่งจิต
จิต มี ๘๙ ดวง (หรือ ๑๒๑ ดวง ถ้านับแบบพิสดาร)
เจตสิก ที่เกิดประกอบจิต มี ๕๒ ดวง
มีการจัดส่วนชัดเจน จิตอกุศล กุศล วิบาก กิริยา ฯลฯ
จะเข้าใจได้ว่า ทำไมเมื่อ ทวาร ๖ ปะทะ อารมณ์ ๖
จิต เข้าไปรู้ เกิด ผัสสะ (คือการสัมผัสถูกต้องของธรรม)
เป็นเหตุให้เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน (การยึดมั่น)
ทำให้เกิดการสร้างกรรม ก่อภพ จบลงด้วย ชาติ (การถือกำเนิดอีก)
ซึ่งเมื่อเกิด ก็ต้องมี ชรา มรณะ ทุกข์ทั้งหลาย
หลุดไม่พ้นจาก วัฏฏะทุกข์ นี้ เสียที
นอกจากได้ความรู้แล้ว เมื่อคิดพิจารณา ก็จะเกิดความสงบ
สงบจริงๆ สงบจากอะไรหรือ?
ก็สงบจาก โลกียธรรม
ค่อยๆ ศึกษาไป ค่อยๆ ปฏิบัติ ควบคู่ไป สะสมไว้
เป็นปัจจัย ให้นำไปสู่ที่สุดแห่งทุกข์ สู่การหลุดพ้นที่แท้จริง
นิพฺพาน ปจฺจโย โหตุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น