วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 19, 2557

ศีลบริสุทธิ ๔

วันนี้ ขอชวนคุยเรื่อง “ศีล” นะครับ

คือทั่วๆ ไป เรามักได้ยินเรื่องการรักษาศีล ถือศีล
ไม่ว่าจะเป็น ศีล ๕  อุโบสถศีล ๘  ศีล ๑๐
หรือแม้แต่ในพระวินัย สำหรับภิกษุสงฆ์ ๒๒๗

แต่ ... หากจะว่าด้วยการปฏิบัติอันเข้มข้น
และเพื่อให้ได้มาซึ่ง ศีลบริสุทธิ์ ที่เรียกว่า “วิสุทธิศีล” แล้ว
เห็นจะไม่ใช่เพียงแค่รักษาด้วยการ "เว้น" ศีลทั้งหลาย

เพราะอันที่จริงแล้ว เพื่อความบริสุทธิ์ ของศีลจริงๆ
ต้องถือ “จตุปาริสุทธิศีล” ศีลบริสุทธิ์ ทั้ง ๔ อันเคร่งครัด

หา ... อะไรนะ???
ถือศีล ๕ ยังไม่พออีกหรือ ทำให้ครบยังไม่ค่อยได้เล้ย ...

ครับ... ถ้าเอาบริสุทธิ์จริง ก็ต้องทำให้ได้ เพราะ ...
ถ้าแค่เริ่มต้น ด้วย “ศีล” ยังทำให้บริสุทธิ์ ไม่ได้
อย่าไปหวังที่จะข้ามไปให้ “จิต” บริสุทธิ์ ได้เลย ... ครับ

แม้จะพยายามฝึก “จิต” คู่ขนานไปด้วย เพื่อไม่ให้เสียเวลา
แต่หากไม่ฝึกการรักษา “ศีล” ไปด้วย การปฏิบัติ ก็ไม่ก้าวหน้า

... ทีนี้ พอจะมองออกแล้วนะครับ สิ่งที่หลายๆ ท่านพูดว่า
จะไปให้ถึง “ที่สุดแห่งทุกข์” นี่ มันคงไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว
... ก็ถ้ามันง่าย ก็คงไปกันได้หมดแล้ว ... ไม่ต้องมาวนเวียนอีก

แต่หากเห็นว่า ยาก ... หรือไปคิดเอาว่า  
"ไม่รู้ คำสอนนี่น่ะ จริงหรือเปล่า" ... ไม่เอาแล้ว... เลิก!!! เลิกดีกว่า
ก็ไม่มีใครว่าอะไรนะ ครับ ก็ง่าย ก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติ

เพียงแต่ที่เขียนถึงนี่ ก็เพราะเห็นหลายๆ ท่าน
เข้าใจ (เอาเองหรือเปล่า?) ว่า ได้บรรลุไปถึงขั้นโน่น ขั้นนี่แล้ว ...
ไม่รู้ว่าขั้นที่ไปถึงนี่ อันเดียวกันหรือเปล่า?

เอาล่ะครับ ... มาว่ากันเรื่อง บริสุทธิศีล ทั้ง ๔ เป็นไง?
ปาฏิโมกข์ศีลสังวร   – ศีลที่สำรวมในพระปาฏิโมกข์
อินทรียสังวร             – ศีลที่สำรวมในทวารทั้ง ๖
อาชีวปาริสุทธิศีล     – ศีลที่เว้นจากมิจฉาชีพ
ปัจจยสันนิสสิตศีล   – ศีลอันพึงระวังในการใช้ปัจจัย ๔

เรื่องแรก ก็รักษาไปปกติ อย่าไปล่วงละเมิด
เมื่อถือแล้ว จะศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ หรือจะมากกว่านั้น
ก็ขอให้ตั้งใจรักษาศีล คือ “เว้น” จากข้อที่ห้ามไว้ เท่านั้น

เรื่องที่สาม ง่ายๆ ก็คือ อย่าไปเลี้ยงชีวิต ด้วยการทุจริต
จะคอร์รัพชั่น จะหลอก โกง สารพัดชั่วทั้งหลาย ก็อย่าไปทำ

ที่อยากกล่าวถึง ก็คือ เรื่องที่สอง และ สี่
เรื่องที่สองคือ “อินทรียสังวร” สำรวมทวารทั้ง ๖
คือทวาร ๖ หรือแดนติดต่อ ๖ ประการ คือ
ตา หุ มูก ลิ้น กาย จิต นี่แหละ ขอรับ

ทำไมต้องสำรวม? ...
คือ ทวารที่ ๖ นี่ มันต้องไป "กระทบ" กับ “สิ่งเร้า” ทั้ง ๖
คือ สี เสียง กลิ่น รส สิ่งต้องสัมผัสกาย และ เรื่องที่คิด
เมื่อกระทบ มันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “อารมณ์” คือ ...
รูปารมณ์ (รูป) สัทธารมณ์ (เสียง) คันธารมณ์ (กลิ่น)
รสารมณ์ (รส) โผฏฐัพพารมณ์ (สิ่งสัมผัสกาย)
และ ธรรมารมณ์ (เรื่องที่คิด พิจารณา) ...

เมื่อเกิดอารมณ์ทั้ง ๖ แล้ว ยากยิ่งที่จะไม่เกิด “เวทนา”
คือความ “รู้สึก” ชอบใจพอใจ – ไม่ชอบใจไม่พอใจ
มันก็จะพาไปสู่ “เหตุ” ๓ คือ โลภ (พอใจ) โทสะ (ไม่พอใจ)
และ โมหะ (หลง ไม่รู้ตามที่เป็นจริง)

ลองพิจารณา ... เช่น
เห็นเพศตรงข้าม ... รู้สึกอย่างไรกับ “รูป” ที่เห็นนั้น ...

ขับรถอยู่ดีๆ คนอื่นปาดเข้ามาแซง ตัดหน้ากระทันหัน ...
ได้ยินคนด่า คุณสัส ชาติสุนัข ... (ขออภัย)

คนรักทิ้ง เลิกกับคนรัก คนรักไปคบคนอื่น ...

ทำนองนี้แหละ มันเกิดกับท่าน ทุกวินาที ...
“รู้สึก” อย่างไรกับ “สิ่งที่มากระทบ”
กระทบแล้ว   คิดทันมันไหม? ยั้งมันได้ไหม? ...

ว่า “ศีล” เป็นเรื่อง ยากมากที่จะรักษาแล้ว ...
มาเจอ “อินทรียสังวร” หนักกว่าเยอะ
แต่นี่แค่เริ่มต้น ยังวนอยู่เรื่อง ศีลวิสุทธิ ยังไม่ไปไหนเลย

อีกเรื่องหนึ่งคือ ปัจจยสันนิสิตศีล
สำรวมระวัง อย่างมีเหตุมีผล ในการใช้ ปัจจัย ๔
คืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค
ปัจจัยเหล่านี้ อย่างไรเสีย ก็ต้อง “เสพ” เพื่อการมีชีวิตอยู่
เพียงแต่การเสพนั้น ต้องไม่เป็นไปเพื่อความเพลิดเพลิน
เพื่อความฟุ้งเฟ้อ เพื่อ “บำรุงกาม”

เป็นไงล่ะ ขอรับ ... วิสุทธิศีล ...
โอ้ย ... อย่างนี้ จะมีใครปฏิบัติได้ล่ะ ??? ... ขอตอบว่า ...
มีครับ มีมาแล้ว กำลังมีอยู่ และมีต่อไปในอนาคตแน่นอน
ท่าน ไม่อยากเป็น หนึ่งในนั้น หรือ ?

ไม่ง่ายเลยใช่ไหม ครับ ... แต่ ...
ประเด็น ไม่ได้อยู่ที่ ง่าย-ยาก
ประเด็นอยู่ที่ จะ “ทำ” ไหม จะ “ปฏิบัติ” จริงไหม?

ที่เขียนมานี่ ผมเอง ยังแค่ “วุ้น” อยู่เลย ครับ

ต้อง “รีบ” แล้วเหมือนกัน ...

ไม่มีความคิดเห็น: