ตื่นมาพร้อมความคิดเรื่อง โลกธรรม
๘
นั่งพิจารณาอยู่นานก่อนทำวัตรเช้า
ถึงบท
มงคลสูตร ท่อนก่อนสรุปสุดท้าย ...
ผุฏฺฐสฺส
โลกธมฺเมหิ
จิตฺตํ
ยส น กมฺปติ
อโศกํ
วิรชฺชํ เขมํ
เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
กระทำจิตมิให้ไหวหวั่นเมื่อต้องกระทบกับ
โลกธรรม
กระทำจิตมิให้เศร้าหมอง
กระทำจิตให้ปราศจากกิเลสธุลี
กระทำจิตให้เกษมเพื่อถึงพระนิพพาน
เช่นนี้นับเป็นมงคลอันสูงสุด
โลกธรรม
๘ – ธรรมคู่ ที่มิอาจหลีกเลี่ยง ที่ต้องประสบ
ลาภ-เสื่อมลาภ,
ยศ-เสื่อมยศ, สุข-ทุกข์, สรรเสริญ-นินทา
เมื่อมันมากระทบ
พึงเว้นเสียจากความพอใจ-ไม่พอใจ
มิใช่เป็นเรื่องทำได้ง่าย
... แต่ก็ต้องฝึกฝน
เมื่อพิจารณาให้เห็นได้ ว่า
...
ทั้งสิ้น
ทั้งปวง ล้วนไม่เที่ยง ล้วนแปรปรวน และ ...
มิตกอยู่ใต้การบังคับบัญชาของใคร
ผู้ใด
หากเป็นไปตาม
“วิบาก” จะกุศล หรือ อกุศล ก็ตาม
ก็ได้แต่รับรู้ไว้ว่า
มันเกิดแล้ว และมันย่อมเกิดจากปัจจัย
ที่เป็น
ปุพฺเพกตปุญฺญาปุญฺญตา คือ
สิ่งที่ได้กระทำ
แม้กุศล แม้อกุศล ในกาลก่อน
การไปพอใจดีใจ
หรือไม่พอใจเสียใจ ต่อโลกธรรมทั้ง ๘
นับเป็น
ความเขลา เป็น อวิชชา
คือไม่รู้เท่าทัน
สภาวะที่เป็นจริง ที่เกิดตามปัจจัย
จึงเกิดเวทนา
เสวยอารมณ์นั้นเข้าไป
ย่อมต้องตามมาด้วย...
ตัณหา
อุปาทาน และสร้างกรรมต่อไป
“วิบาก”
มันก็ไม่ขาด ด้วยเหตุที่ “กรรม” ยังถูกสร้างต่อเนื่อง
เวียนเกิด-เวียนตาย
เช่นนี้
จับต้นไม่ได้
ชนปลายไม่ถูก
สังสารวัฏฏ์
จึงยาวนาน ไร้ที่จบสิ้น
ใครจะนึก
อยู่ๆ อดีตผู้นำทางการเมือง ต้องสูญเสีย
เงินทองมหาศาล
นับหมื่นล้าน – เสื่อมลาภ และเสื่อมยศ
อดีตรองนายกฯ
ต้องมาเรียกร้องตามถนนหนทาง
ทั้งถูกตั้งข้อหาขบถอันร้ายแรง
เสื่อมยศ และทุกข์หนัก
แม้เหตุการณ์เช่นนี้
ไม่ได้เกิดกับใคร
แต่ใครจะคิด
จะรู้ได้ ว่ามันจะไม่เกิดทำนองนี้กับตน
ไม่ว่าจะมาก
หรือจะน้อย
ประเด็นมิได้อยู่ที่
เกิดได้อย่างไร? แต่อยู่ที่ ...
เมื่อเกิดแล้ว
ควรกระทำอย่างไร? ต่างหาก ...
เมื่อวานนี้
เป็นวันพิเศษของเรา
ครบรอบ
๒๓ ปีแห่งการครองชีวิตคู่
ส่วนตัวแล้ว
...
นับเป็นวาสนา
เป็นกุศลวิบากโดยแท้
ที่ได้มาพบ
และใช้ชีวิตร่วมกัน
ภาวนาที่จะได้มีชีวิตคู่นี้ต่อ
ถึงปีที่ ๓๐...๔๐ ... ๕๐ ...
หวังใช้ชีวิต
“ร่วมกัน” ตราบนานเท่าที่ “วิบาก” กำหนด