วันจันทร์, มิถุนายน 30, 2557

โลกธรรม ๘

ตื่นมาพร้อมความคิดเรื่อง โลกธรรม ๘
นั่งพิจารณาอยู่นานก่อนทำวัตรเช้า
ถึงบท มงคลสูตร ท่อนก่อนสรุปสุดท้าย ...

ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ
จิตฺตํ ยส น กมฺปติ
อโศกํ วิรชฺชํ เขมํ
เอตมฺมํคลมุตฺตมํ

กระทำจิตมิให้ไหวหวั่นเมื่อต้องกระทบกับ โลกธรรม
กระทำจิตมิให้เศร้าหมอง กระทำจิตให้ปราศจากกิเลสธุลี
กระทำจิตให้เกษมเพื่อถึงพระนิพพาน
เช่นนี้นับเป็นมงคลอันสูงสุด

โลกธรรม ๘ – ธรรมคู่ ที่มิอาจหลีกเลี่ยง ที่ต้องประสบ
ลาภ-เสื่อมลาภ, ยศ-เสื่อมยศ, สุข-ทุกข์, สรรเสริญ-นินทา

เมื่อมันมากระทบ พึงเว้นเสียจากความพอใจ-ไม่พอใจ
มิใช่เป็นเรื่องทำได้ง่าย ... แต่ก็ต้องฝึกฝน

เมื่อพิจารณาให้เห็นได้ ว่า ...
ทั้งสิ้น ทั้งปวง ล้วนไม่เที่ยง ล้วนแปรปรวน และ ...
มิตกอยู่ใต้การบังคับบัญชาของใคร ผู้ใด
หากเป็นไปตาม “วิบาก” จะกุศล หรือ อกุศล ก็ตาม
ก็ได้แต่รับรู้ไว้ว่า มันเกิดแล้ว และมันย่อมเกิดจากปัจจัย
ที่เป็น ปุพฺเพกตปุญฺญาปุญฺญตา คือ
สิ่งที่ได้กระทำ แม้กุศล แม้อกุศล ในกาลก่อน

การไปพอใจดีใจ หรือไม่พอใจเสียใจ ต่อโลกธรรมทั้ง ๘
นับเป็น ความเขลา เป็น อวิชชา
คือไม่รู้เท่าทัน สภาวะที่เป็นจริง ที่เกิดตามปัจจัย

จึงเกิดเวทนา เสวยอารมณ์นั้นเข้าไป
ย่อมต้องตามมาด้วย...
ตัณหา อุปาทาน และสร้างกรรมต่อไป

“วิบาก” มันก็ไม่ขาด ด้วยเหตุที่ “กรรม” ยังถูกสร้างต่อเนื่อง
เวียนเกิด-เวียนตาย เช่นนี้
จับต้นไม่ได้ ชนปลายไม่ถูก
สังสารวัฏฏ์ จึงยาวนาน ไร้ที่จบสิ้น

ใครจะนึก อยู่ๆ อดีตผู้นำทางการเมือง ต้องสูญเสีย
เงินทองมหาศาล นับหมื่นล้าน – เสื่อมลาภ และเสื่อมยศ
อดีตรองนายกฯ ต้องมาเรียกร้องตามถนนหนทาง
ทั้งถูกตั้งข้อหาขบถอันร้ายแรง เสื่อมยศ และทุกข์หนัก

แม้เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่ได้เกิดกับใคร
แต่ใครจะคิด จะรู้ได้ ว่ามันจะไม่เกิดทำนองนี้กับตน
ไม่ว่าจะมาก หรือจะน้อย

ประเด็นมิได้อยู่ที่ เกิดได้อย่างไร? แต่อยู่ที่ ...
เมื่อเกิดแล้ว ควรกระทำอย่างไร? ต่างหาก ...

เมื่อวานนี้ เป็นวันพิเศษของเรา
ครบรอบ ๒๓ ปีแห่งการครองชีวิตคู่
ส่วนตัวแล้ว ...
นับเป็นวาสนา เป็นกุศลวิบากโดยแท้
ที่ได้มาพบ และใช้ชีวิตร่วมกัน
ภาวนาที่จะได้มีชีวิตคู่นี้ต่อ ถึงปีที่ ๓๐...๔๐ ... ๕๐ ...
หวังใช้ชีวิต “ร่วมกัน” ตราบนานเท่าที่ “วิบาก” กำหนด


 









(หมายเหตุ – เขียนไว้เมื่อ ๔ มีนาคม ๒๕๕๗ หลังวันครบรอบ ๑ วัน)

ฮุ่ยเหนิง (เว่ยหลาง)

หลายวันก่อน ตั้งคำถามถามรุ่นพี่ที่เคารพ
“พี่...จิต นี่มันอยู่ตรงไหนครับ?”
เป็นปุจฉาที่ก็ไม่ได้หวังในคำตอบ 
แต่หวังใน “ความเข้าใจ”
เพราะชอบที่จะสนทนาธรรมกับพี่ท่านนี้

แล้วจริงๆ “จิต” ที่ว่านี่ มันอยู่ตรงส่วนไหนในกายแน่
บ้างว่าอยู่ที่ หัวใจ บ้างว่าอยู่ที่สมอง

โดยอภิธรรมแล้ว ... จิต ๘๙ (ย่อ) ท่านว่า
อยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างละ ๒ คือ
ส่วนที่เป็น กุศล และอกุศล จึงเรียกว่า “ทวิปัญจวิญญาณ”
ทวิ – ๒ + ปัญจ – ๕ + วิญญาณ – จิต

ยังมีส่วนของจิตที่เรียกว่า “มโนธาตุ ๓”
และมีที่เรียกว่า “มโนวิญญาณธาตุ” ที่เหลือทั้งหมด
ไม่ขอลงรายละเอียด

เพียงแต่อยากรู้ ...
“จิต” นี่ มันอยู่ตรงไหนของมันกันแน่ ?

ใน ธรรมบท มีกล่าวเรื่องที่อยู่จิตไว้คาถาหนึ่ง ว่า
“ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คุหาสยํ ...”
ท่องไปได้ไกล ไปเพียงดวงเดียว ไร้สรีระรูปร่าง
อยู่ในกายนี้แหละเป็นคูหา ...

ก็แสดงว่ามัน “อสรีรัง” คือหามีรูปไม่ นะซี
อ้าว ... แล้วที่ต้องนั่ง “ดูจิต” นี่จะดูยังไง?
หรือจริงๆ แล้ว ก็คือ ดู “ความคิด”
ถ้าเช่นนั้น จิต ก็เท่ากับ ความคิด นะซี
เป็นปริศนาธรรม ให้ขบคิดกัน

ทำให้นึกถึงเรื่องเล่า ในตำนานของจีน
พระสังฆปรินายกรูปที่ ๖ ในนิกายเซน (ฌาน หรือ ฉาน)
นามเดิมท่านคือ “หลู ฮุ่ยเหนิง” (อันนี้ภาษาจีนกลาง)
ที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักในนาม “เว่ยหลาง”
ซึ่งเป็นสำนวนท้องถิ่น (dialect)
ที่รจนาโดยท่านพุทธทาส

ตำนานนี้ ไปค้น (search) ดูได้จาก Google นะครับ
จะพิมพ์ “เว่ยหลาง” หรือ “ฮุ่ยเหนิง” เป็น key word ก็ได้

ประเด็นที่จะเขียนนี้ ก็เรื่องการประชัน บทกลอนแห่งธรรม
ซึ่งเขียนเริ่มก่อนโดยศิษย์ของพระอาจารย์ หงเหยิน
ที่ชื่อ เสินซิ่ว
มีข้อความว่า ...

กาย ดั่งต้นโพธิ์                   (เซิน ซื่อ ผู๋ถี ซู่)
ใจใสดั่งกระจกเงา               (ซินหยู หมิงจิ้ง ไถ)
เพียรปัดกวาดทุกเวลานาที (สือสือ ฉิน ฝูซื่อ)
มิให้ธุลีเกาะกุมใจ               (ปู้สือ โหย่ว เฉินไอ)

ก็นับว่า ท่านเสินซิ่ว มีความเข้าใจเรื่อง รูป-นาม
ตามความคิด ความเข้าใจของท่าน จึงเน้นไปที่
การสำรวม ระวัง กาย-จิต มิให้กิเลส ครอบงำได้

เมื่อท่าน ฮุ่ยเหนิง ซึ่งตอนนั้นก็ มิใช่ สงฆ์
เป็นเพียงผู้รับใช้ งานในครัว เมื่อสงสัยที่พระและคนมุงดู
จึงรู้ว่า บทกลอนพระเสินซิ่ว แท้จริงยังไม่ถึง “ที่สุดของธรรม”
แม้จะไม่สามารถอ่าน-เขียนได้ ก็ขอร้องให้คนช่วย
ท่านฮุ่ยเหนิง ก็ร่ายโศลกว่า ...

ต้นโพธิ์นั้น แท้จริงหามีไม่      (ผูถี เปิ่นอู๋ ซู่)
กระจกเงากระจ่างใสก็ไร้สิ้น   (หมิงจิ้ง อี้ เฟยไถ)
เดิมมาไร้สรรพสิ่ง                  (เปิ่นไหล อู๋ อี๋ อู้)
หาธุลีเกาะสิ่งใดได้เล่า          (เฮอซู่ โหย่ว เฉินไอ)

ท่านก็ว่าในแนว รูป-นาม ล้วนเป็นอนัตตาสิ้น
เมื่อหวนคืนความเป็นดั้งเดิมแล้ว ก็ไร้สิ้นซึ่งรูป ซึ่งนาม

สรุป ... วันนี้
“จิต” อยู่ที่ไหน อยู่ตรงไหน ???

ขอความเจริญ ความสวัสดีในพุทธธรรม
จงประสบแก่ทุกท่าน

วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 26, 2557

มงคลจักรวาฬน้อย

วันก่อน เล่าเรื่องไปไหว้พระ เพื่อความเป็น “มงคล”
เลยได้พูดถึงบทสวดขอพรชื่อ “มงคลจักรวาฬน้อย”
สัตว์ทั้งหลาย ก็แค่นี้จริงๆ ... หากอธิษฐานขอได้
ย่อมไม่พ้น สองเรื่องนี้ ... พ้นจากทุกข์   ได้แต่สุข

เลยอยากเอาบทสวดนี้มาแบ่งปันกัน...
ถ้ามา share กันแบบปกติ มันคงไม่น่าสนใจ
ก็เลยอยากโชว์ความรู้ งูๆ ปลาๆ ด้าน ภาษาศาสตร์หน่อย
คืออยากให้ผู้อ่าน ได้คิดตาม เข้าใจความหมายตาม บทสวด

ข้อดีหนึ่ง คือว่า ภาษาไทยเรา ก็มีรากมาจาก บาลี-สันสกฤต
เพียงแต่เราไม่ได้เอาใจไปจดจ่อ เลยเข้าใจว่า บาลี มันยาก
เอ้า ลองมาดูกันนะครับ ... จะค่อยๆ อธิบายง่าย ๆ
ส่วนของบทสวด จะ screen สีน้ำเงิน ใช้ตัวหนา ครับ ...

คำว่า “สัพเพ สัพพัง สัพพา” มันก็คือ “สรรพ” – หลายๆ ทั้งหลาย
คำว่า “อานุภาพ” ทุกท่านก็ทราบดีแล้ว
บาลี นั้นในเชิงไวยากรณ์ จะมีลักษณะ คำสมาส – สนธิ
ฉะนั้น ... เอาล่ะนะครับ ...
สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพธัมมานุภาเวนะ สัพพสังฆานุภาเวนะ
ทุกท่านย่อมแปลได้แน่นอน

คำว่า “รัตนะ” – ดวงแก้ว เป็นคำมงคล ผู้คนชอบใช้
เรียกต่อท้ายสิ่งที่รักที่ชอบ เช่น นางแก้ว ลูกแก้ว ...
ฉะนั้น ... ท่านต้องเข้าใจความหมายนี้ แน่นอน
พุทธะรัตตะนัง ธัมมะรัตตะนัง สังฆะรัตตะนัง
ติณณัง รัตตานานัง อานุภาเวนะ
ตรงคำว่า “ติณณัง” ผมก็ไม่ทราบแปล่าอะไร
ก็อย่าไปติดกับมัน เอาความหมายรวมๆ ดูบริบทในประโยค พอ

จะตุราสีติสะหัสสะธัมมักขันธานุภาเวนะ
“จตุ”.-๔ “สหัสสะ” – พัน ...ตรงนี้ ผมก็รวบเลย
อานุภาพแห่งพระธรมขันธ์ทั้ง ๔,๘๐๐ ... เข้าใจนะครับ
ปิฏะกัตตายานุภาเวนะ ... อานุภาพแห่งพระปิฏก (ไตร) นั่นแหละ
ชินะสาวะกานุภาเวนะ ... อานุภาพแห่งพระชินสาวก

เมื่อขออำนาจ (อานุภาพ) บรรดาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายแล้ว
ก็จะเริ่มอธิษฐานขอพร ... อย่างที่บอก มีแค่ ๒ เรื่อง ...

ถ้าเป็นพระสวดให้ จะใช้คำว่า “เต” คือพระสวดให้ “คุณ” (ผู้รับพร)
คำว่า “เต” ก็ตรงกับคำว่า ‘thee’ ในภาษาอังกฤษโบราณ
แปลว่า ‘you’ คือ “คุณนั่นแหละ (หาดูคำนี้ได้ใน Holy Bible)
คำว่า thee นี้เป็นกรรม ถ้าประธานก็ thou

ทีนี้ เมื่อจะเปลี่ยนมาสวดอธิษฐานให้ตัวเอง ก็ต้องเปลี่ยนสรรพนาม
จาก “เต” ก็ต้องมาเป็น “เม” นะครับ
คำว่า “เม” ก็ตรงกับคำว่า ‘me’ คือ “ฉัน” นี่แหละ ฉะนั้น ...

สัพเพ เม โรคา, สัพเพ เม ภยา, สัพเพ เม อันตรายา,
สัพเพ เม อุปัทะวา, สัพเพ เม ทุนนิมิตตา, สัพเพ เม อะวะมังคะลา
วินัสสันตุ ...
โรค, ภัย, อันตราย, อุบัติเหตุ, ฝันร้าย, อัปมงคล ทั้งหลาย
(ขอให้) วินาศ สิ้นไป ....

เริ่มง่ายแล้วนะครับ ...
ท่อนที่แล้วเป็นการขอให้ “พ้นทุกข์ พ้นภัย พ้นสิ่งที่ไม่ชอบ”

อายุ วัฒะโก, ธะนะ วัฒะโก, สิริ วัฒะโก, ยัสสะ วัฒะโก,
พะละ วัฒะโก, วัณณะ วัฒะโก, สุขะ วัฒะโก
โหตุ สัพพะทา

“วัฒะ” – วัฒนา พัฒนา ... คือเจริญยิ่งๆ   ฉะนั้น
ขอให้เจริญด้วย อายุ, ทรัพย์ (นึกถึง ธนบัตร), ศิริ, ยศ,
พละ (สุขภาพสมบูรณ์), วรรณะ (ความผุดผ่อง), สุข
ทั้งหลายเหล่านี้ ขอให้บังเกิด

ก็จบส่วนการขอทั้งสองไปแล้ว พ้นภัย ได้สุข
แค่นั้น ท่านผู้รจนาบทสวดนี้ เหมือนจะรู้นิสสัยคนไทย
คือ “ต้องย้ำ” กลัว “ท่าน” ไม่ได้ยิน หรือข้องใจ ต้องย้ำ
ก็ย้ำ ทั้งสองส่วนอีก มีเติมนิดหน่อย เป็น ...

พ้นทุกข์ ...
ทุกขะ โรคะ ภะยา เวรา (การจองเวร) โศกา
สัตตุ (ศัตรู) จุปัททะวา (จ – และ)+อุปัททะวา
อเนกา (เอก = หนึ่ง เติม prefix “น” เข้าไป = พหูพจน์)
อเนกา อันตะรายาปิ วินัสสันตุ จะ เตชะสา (ด้วยเดช)
สรุปคือ ไอ้สิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้น่ะ ไม่เอานะขอรับท่าน ...

ขอสุขล่ะ ...
ชัยยะ, สิทธิ, ธะนัง, ลาภัง (ลาภ) โสตถิ (ไม่รู้แปลว่าอะไร)
ภาคยัง (ไม่รู้อีก), สุขัง, พะลัง, สิริ, อายุ จะ วัณโณ จะ
โภคัง (โภคทรัพย์), วุฒี (ความรู้ มั๊ง), จะ ยะสะวา (ยศ),
สัตตะวัสสา (ศตวรรษ = หนึ่งร้อย) จะ อายู จะ ชีวะสิทธี
(คือขอให้อายุยืนหนึ่งร้อยปีนั่นแหละ)
ภะวันตุ เม  ....  จงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าเทอญ

ถ้าคิดได้เพิ่ม ขอได้อีก ก็คงขอต่อล่ะมั๊งครับ มนุษย์นี่น่ะ
ยิ่งเรื่องอายุ ขอกันเป็นร้อยเลย ... ไม่รู้จะอยู่ทำอะไรขนาดนั้น
แต่เชื่อเถอะ ถ้าขอให้ถึง ๑๕๐, ๒๐๐ ได้ ก็คงไม่เว้นนั่นแหละ

เอาล่ะครับ ยาวมาก เดี๋ยวเพื่อนว่า แต่ ... ก็ต้องเอาให้จบ
อาจมีคำถามเชิงตำหนิว่า จะมาเขียนทำไม
เดี๋ยวนี้ บทสวดพร้อมแปลเยอะแยะ
ก็จริงครับ ... แต่นี่ไม่ได้ต้องการ ให้แปล
แต่ต้องการให้ “เดา” เดาบริบทของ บาลี
เวลาสวด ปกติ ไม่นึกถึงคำแปลที่อ่านไว้หรอกครับ
แต่ผมเห็นว่า ถ้าลองวิธีนี้ บางทีคนอาจเห็นว่า เออ ... ไม่ยากนี่
เวลาสวดไป ก็จะรู้ และเข้าใจ ก็ยิ่งทำให้ เจตนาแห่งจิต บรรลุผล

ก็ฝากกันไว้นะครับ
เดี๋ยวจะเอาไปลง blog

อ้อ...ก่อนสวด น้อมระลกถึงพระพุทธองค์ ด้วยการตั้ง “นะโม”
๓ จบนะขอรับ ...

ขอความเจริญในพุทธธรรม จงประสบแก่ทุกท่าน






วันพุธ, มิถุนายน 25, 2557

อภิธรรม

มีญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนรุ่นพี่ที่นับถือ ถามว่า ...
พุทธศาสนา สอนเกี่ยวกับอะไร?
ด้วยความรู้ไม่มากนัก ก็ตอบท่านไปว่า ...
ผมเห็นว่าหลักๆ แล้ว พระพุทธองค์สอนแค่ ๒ เรื่อง
คือ ทุกข์ กับ การดับทุกข์
แล้วผู้ใหญ่ท่านนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก

เออ ... ถ้าสอนเพียง ๒ เรื่องนี้
แล้วทำไม คำสอนมันยืดยาวเหลือเกิน
มีตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ล่ะ?

ก็ต้องเข้าใจว่า ใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี้
แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนหลักๆ
ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่อง กฎของสงฆ์
เพราะ คนหมู่มาก ต้องมีเกณฑ์กติกาที่ต้องใช้ดำเนินชีวิต
อันนี้เป็นวินัยกินพื้นที่ไป ๑ ใน ๔ คือ ๒๑,๐๐๐ ธรรมขันธ์

อีกส่วนหนึ่งก็เป็นการบันทึกเรื่องราวพร้อมพุทธเทศนาที่สำคัญ
เป็นส่วนของพระสูตรบันทึก พุทธกิจ สังฆกิจ ครั้งพุทธกาล
ส่วนนี้ก็กินพื้นที่ ๑ ใน ๔ เท่าเทียมกับ พระวินัย

ส่วนที่สามนี่ นับเป็น หัวใจของพระพุทธศาสนา
เป็นส่วนของ ปรมัตถ์ธรรม ที่ชื่อ พระอภิธรรม
ธรรมอันยิ่งใหญ่ ว่าด้วย ความจริงแท้ ล้วนๆ
รูป นาม (จิตเจตสิก) นิพพาน (การหลุดพ้นจาก วัฏฏทุกข์)
เทียบกับบัญญัติอันเป็นสมมติ ที่ถูกสร้างขึ้น (ไม่ใช่ สัจจธรรม)
ส่วนนี้กินพื้นที่ถึงกึ่งหนึ่ง ของพระไตรปิฎก คือ ๔๒,๐๐๐ ธรรมขันธ์


แค่ ทุกข์ กับ ดับทุกข์ กินเนื้อหามากมายขนาดนี้เลยหรือ?
ต้องเข้าใจว่า มันไม่มีอะไรเกิดลอยๆ ขึ้นมาหรอก
มันมีส่วนที่เป็นรายละเอียด สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน
พระอริยสัจจ์ ทั้ง ๔ ก็เริ่มจากทุกข์ แล้วก็ระบุ เหตุแห่งทุกข์
ครั้นเมื่อตรัสถึงการดับทุกข์ ก็ทรงแสดงหนทางที่จะไปถึง
เมื่อลงรายละเอียด จึงเป็นที่มาของทั้งหมดในพระอภิธรรม

พระอภิธรรมปิฎกฉบับเต็ม 
ส่วนตัวผม อ่านลำบาก เข้าใจยาก ก็เลยศึกษา เล่มย่อ 
ชื่อว่า อภิธัมมัตถะสังคะหะ (อภิธมฺมตฺถสงฺคห)
รจนา (หรือเรียบเรียง) โดย พระอนุรุทธาจารย์
ท่านดำรงพรรษาในช่วงประมาณ ๙๐๐ ปี หลังพุทธปรินิพพาน

ท่านเองก็คงมีความเห็นด้วยจิตบริสุทธิ์ว่า
หากให้พุทธศาสนิกชน ศึกษา ธรรมอันประเสริฐ
จากคัมภีร์ พระอภิธรรมทั้ง ๗ คงเป็นเรื่องยากมากๆ
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ท่านได้ศึกษา และมีความแตกฉาน
จึงได้รจนาธรรม เป็นส่วนย่อของคัมภีร์พระอภิธรรม
ย่อออกมาเป็น ๙ ปริเฉท (บทใหญ่)
ลองศึกษาดูสักนิด แล้วจะเข้าใจ เพราะท่านรจนา เป็นส่วนๆ 
เพื่อให้ผู้ศึกษาทำความเข้าใจในแต่ละเรื่อง ง่ายขึ้น

ถ้าใจเย็นๆ ค่อยศึกษาทีละเรื่อง จะสุข สงบ และลึกซึ้งยิ่ง
เอาแค่ปริเฉทแรก ที่ว่าด้วยจิต” (จิตฺตสงฺคหวิภาค)
จะรู้ว่าจิตคืออะไร?
ธรรมชาติหนึ่งที่รู้อารมณ์นี่ รู้อย่างไร? และอารมณ์อะไร?
อารมณ์ทั้ง ๖ นั้น มันมาอย่างไร?

ปริเฉทที่ ๒ จะรู้จักเจตสิกหรือ ธรรมชาติ ที่ปรุงแต่งจิต
จิต มี ๘๙ ดวง (หรือ ๑๒๑ ดวง ถ้านับแบบพิสดาร)
เจตสิก ที่เกิดประกอบจิต มี ๕๒ ดวง
มีการจัดส่วนชัดเจน จิตอกุศล กุศล วิบาก กิริยา ฯลฯ

จะเข้าใจได้ว่า ทำไมเมื่อ ทวาร ๖ ปะทะ อารมณ์ ๖
จิต เข้าไปรู้ เกิด ผัสสะ (คือการสัมผัสถูกต้องของธรรม)
เป็นเหตุให้เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน (การยึดมั่น)
ทำให้เกิดการสร้างกรรม ก่อภพ จบลงด้วย ชาติ (การถือกำเนิดอีก)
ซึ่งเมื่อเกิด ก็ต้องมี ชรา มรณะ ทุกข์ทั้งหลาย
หลุดไม่พ้นจาก วัฏฏะทุกข์ นี้ เสียที

นอกจากได้ความรู้แล้ว เมื่อคิดพิจารณา ก็จะเกิดความสงบ
สงบจริงๆ สงบจากอะไรหรือ?
ก็สงบจาก โลกียธรรม
ค่อยๆ ศึกษาไป ค่อยๆ ปฏิบัติ ควบคู่ไป สะสมไว้
เป็นปัจจัย ให้นำไปสู่ที่สุดแห่งทุกข์ สู่การหลุดพ้นที่แท้จริง

นิพฺพาน ปจฺจโย โหตุ