วันศุกร์, สิงหาคม 22, 2557

Amish Society

ไปค้นเรื่องราวเก่าๆ ที่เคยบันทึกเอาไว้
พบเรื่องหนึ่งน่าสนใจ ตรงกับเหตุการณ์ปัจจุบัน
เขียนเมื่อ  วันศุกร์ ที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕
มีว่า ...

ช่วงนี้อ่านและรับฟังข่าวสารเกี่ยวกับความเป็นไปในโลก
มีประเด็นที่นำมาพิจารณาเทียบเคียง หลักพุทธธรรม
ในพระอภิธรรม ส่วนที่ว่าด้วยเรื่องของ อกุศลจิต ๓ หมวด
คือ โลภ โทส และ โมห เทียบเคียงกับสภาพของโลก
อย่างน่าสนใจ คือ

สมัยใด มนุษย์มีสันดานมากไปด้วย โลภะ
ย่อมเกิด ทุพฺพิกฺขนฺตราย ภัยจากขาดแคลนอาหาร
สมัยใด มนุษย์มีสันดานมากไปด้วย โทสะ
ย่อมเกิด สตฺถนฺตราย ภัยจากอาวุธและสงคราม
สมัยใด มนุษย์มีสันดานมากไปด้วย โมหะ
ย่อมเกิด โรคนฺตราย ภัยจากโรคาพยาธิ

ปกติแล้ว สถานการณ์แห่งเภทภัย มักมีหนึ่งเดียว
ในแต่ละยุค แต่ละสมัย  ไม่ค่อยเกิดพร้อมๆ กัน
แต่สถานการณ์โลกปัจจุบัน ดูจะมีพร้อมทั้ง ๓

ความรุนแรงจากภัยธรรมชาติ สาเหตุหลักก็มาจากมนุษย์
ความโลภของมนุษย์ ในการ “ผลาญ” ทรัพยากร
อย่าง “ขาดสติ” บริโภคกันเกินความพอดี ฟุ่มเฟือย
มลภาวะที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดเภทภัยธรรมชาติ
ความแห้งแล้งกันดาร น้ำท่วม แผ่นดินไหว ฯลฯ
เกิดการขาดแคลนอาหาร ไปทั่วโลก









นอกจากมลภาวะแล้ว ยังสร้างการแข่งขัน
การเข้าแย่งชิงพื้นที่ ที่ยังอุดมด้วยทรัพยากร
สร้างความขัดแย้ง ให้นำไปสู่การสะสมกำลังอาวุธ
สร้างข่าวและเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อเป็นชนวนแห่งสงคราม
สร้างความเกลียดชัง ในชนเผ่า จนต้องประหัตประหารกัน
ผู้ได้ประโยชน์ ก็คือ พ่อค้าอาวุธ ระดับโลก









มลภาวะที่สร้างขึ้น ก็กระทบในเรื่องของ สุขอนามัย
เป็นเหตุ นำมาซึ่งโรคร้าย แปลกประหลาดต่างๆ
ที่เวชศาสตร์ทั้งหลาย กลับเป็นฝ่ายตั้งรับ
และใช้เวลานานในการค้นคว้า เพื่อเอาชนะโรคภัย
เวชภัณฑ์ก็มีราคาสูง นำไปสู่ความโลภของฝ่ายผลิต
และแน่นอน ย่อมนำไปสู่ความโกรธ ของฝ่ายบริโภค












อีกด้านหนึ่ง ข่าวดี ก็มีเหมือนกัน  ว่าด้วยเรื่อง กลุ่มคน
และแนวคิด ที่ต้องการกลับไปใช้ชีวิตตามธรรมชาติ
แม้จะเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่จุดประกาย แนวคิดที่สันติ
รักษาธรรมชาติ บริโภคแต่พอควร ลดความต้องการส่วนเกิน

ทำให้นึกถึงกลุ่ม Amish ที่ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย
ปฏิเสธ เทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ

อ่านข้อมูลจาก Wikipedia เกี่ยวกับชาว Amish ใน U.S.A.
ในช่วงปี คศ. ๒๐๐๐ มีประชากร Amish ทั้งสิ้น
๑๖๕,๐๐๐ คนในสหรัฐฯ และ ๑,๕๐๐ คน ในแคนนาดา
ปี ๒๐๐๘ อัตราการขยายตัวเพิ่มเป็น ๒๒๗,๐๐๐ คน และ
ในปี ๒๐๑๐ มีประชากรเพิ่ม ๑๐% เป็น ๒๔๙,๐๐๐ คน


อันนี้พิสูจน์อะไร?
พิสูจน์ความยืนหยัดในแนวทางการใช้ชีวิตเรียบง่าย
อยู่กับธรรมชาติ ปฏิเสธแนวคิด “นิยมวัตถุ”
แม้จะแวดล้อมไปด้วยสิ่งมอมเมาทั้งหลาย

ทั้งนี้ก็เป็นเพราะหลักความเชื่อตามแนวศาสนา
ปฏิเสธการปฏิบัติตนอย่าง ภาคภูมิ เย่อหยิ่ง ยะโส
แต่ให้ใช้ชีวิตอย่าง สงบ ถ่อมตัว


ได้ไปลอง search “amish” ใน google
มีรายละเอียด ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา
แนวคิดทางศาสนา วิถีชีวิต ความเป็นกลุ่มชน (ส่วนน้อย)
ที่น่าสนใจก็คือเรื่อง Amish Life In The Modern World
ที่พวกเขาต้องเผชิญกับประเด็นปัญหาทางสังคมต่างๆ
การเสียภาษี การศึกษา กฎหมายและการบังคับใช้
การเลือกปฏิบัติ ฯลฯ


แม้แนวการใช้ชีวิต จะออกไปทาง socialism
แต่ถ้าคิดให้ดีแล้ว มันไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อน
หรือเบียดเบียนส่วนอื่นๆ ของสังคมแต่อย่างใด
ตรงกันข้าม มันกลับเป็นแนวคิดที่สร้าง
ศรัทธาในตน เคารพผู้อื่น แบ่งปัน ช่วยเหลือกัน
มันก็ควรเป็นเรื่องที่ต้อง เปิดใจ พิจารณา

 

เราเองก็อยากเห็น ชุมชนรักธรรมชาติ เช่นนี้
ให้เกิดมีขึ้นในสังคมบ้านเรา สังคมแห่งสันติ
มีวิถีปฏิบัติแบบ ไม่เบียดเบียนกัน
ถ้าทำได้ เราก็อาจจะจุดประกาย Utopia
สังคมอุดมคติ เล็กๆ ขึ้นมาได้เช่นกัน

สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคึ

ความพร้อมเพรียงในหมู่ ย่อมนำสุขมาให้

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 21, 2557

ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา

สวดวัตรเช้าวันนี้
ก็เหมือนเช่นเคยกับทุกวันที่มีมา

แต่วันนี้ มาสะดุด ตรงวลีที่ว่า
ยมฺปิจฉํ นลภติ ตมฺปิ ทุกขํ
คือ คิดสิ่งใดไม่ได้ดังหวัง นั่นก็ทุกข์

แล้วพระท่านจึงสรุปลงว่า ...
“สงฺขิเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา
สรุปรวมความแล้ว
การเข้าไปยึดมั่นในขันธ์ทั้ง ๕ นั่นแหละทุกข์

รูป” ทั้งหลายที่ผ่านมายังปสาททั้งหลาย และจิต
เวทนา” ที่จิตเข้าไปเสวยอารมณ์ต่อรูปนั้น
สัญญา” ที่จิตจดจำ รูปทั้งหลายนั้น
สังขาร” ที่จิต ยอมให้เจตสิกทั้งหลายปรุงแต่ง
วิญญาณ” แม้ตัวจิตเองก็เถิด
ทั้งสิ้น ทั้งปวง ล้วนเป็นต้น เป็นเหตุแห่งทุกข์








ขันธ์ทั้ง ๕ นี้เป็น ๑ ใน วิปัสสนาภูมิ ๖
จึงควรหน่วงเอาธรรมนี้มา เป็นอารมณ์
พิจารณา  ให้รู้จักลักษณะแห่งธรรม
ให้เห็นว่า มันไม่เที่ยง มันแปรเปลี่ยน
และมันไม่ตกอยู่ใต้บังคับบัญชาใดๆ

สติ ความยั้งด้วยการตรึก คิด
แม้จะมาหลัง กรรม ที่ได้ทำไปแล้วก็ตาม
พยายามต่อไป พยายามต่อไป ต่อไป
มั่นใจว่า วันหนึ่งมันจะมาทัน กรรมที่ทำ
และวันหนึ่ง มันจะล้ำหน้าไป
ก่อนตัดสินใจ กระทำกรรม

ยังคงดำเนินต่อไป บนเส้นทางที่เลือกแล้ว
ด้วย มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ์

ขอความเจริญในพุทธธรรม จงประสบแด่ท่าน

ขอขอบคุณ google เรื่องภาพ

‘perception of senses’

วันเสาร์, สิงหาคม 16, 2557

อนิมิต ๕

เมื่อวานว่าด้วย มรณานุสสติ
มีเรื่อง อนิมิต คือ การที่ไม่มีเครื่องหมายบ่งบอก
เป็นเรื่องที่น่าสนใจ มี ๕ ประการ คือ

ชีวิตํ  -  ไม่มีเครื่องหมายบอกเราได้ว่า
ชีวิตจะอยู่ไปได้นานเท่าใด
บ้างยังไม่เกิด คนเขาก็ไปล้วงเอาออกมาให้ตาย
บ้างหนุ่มสาว บ้างเฒ่าชรา

พยาธิ  -  ไม่มีเครื่องหมายบอกเราได้ว่า
จะเจ็บป่วยด้วยโรคอะไร ถึงตาย
นาย ย.โย่ง แข็งแรงดี เป็นนักกีฬา ไปเล่น
เทนนิส หัวใจล้มเหลว กระทันหัน
ตัวอย่างอื่นๆ อีกมากมาย

กาเล  -  ไม่มีเครื่องหมายบอกเราได้ว่า
จะตายเมื่อไร หนุ่มสาว อย่าเข้าใจว่า
รอจนแก่แล้วค่อยตาย อาจเกิดจากโรคปัจจุบัน
อุบัติเหตุ อุบัติภัย มากมายหลายสาเหตุ

เทหนิกเขปนํ  -  ไม่มีเครื่องหมายบอกได้ว่า
จะไปตายตรงไหนดี บนเครื่องบิน ในรถ
โรงพยาบาล บ้านเพื่อน ไม่มีหรอกที่ว่า
ขอตายที่บ้าน  จะไปรู้ได้อย่างไร

คติ  -  ไม่มีเครื่องหมายใดๆ บอกเราได้ว่า
หลังจากตายในภพชาตินี้แล้ว ไปไหนต่อ
นรก เปรต เดรัจฉาน คน เทวดา พรหม

เหล่านี้แหละที่พึงพิจารณา อนิมิตตะ
คือไม่มีนิมิต สัญญาณอะไรมาบอกเรา
ยกเว้นอาจได้ญาณขั้นวิเศษ รู้วันดับขันธ์

มีภาษิตกล่าว “คนคำณวน มิสู้ ฟ้าลิขิต”
สำหรับชาวพุทธแล้ว ภาษิตนี้ ใช้ไม่ได้
ไม่มี ฟ้าลิขิต มีแต่ “วิบาก” ส่งผลของ “กรรม”

อ้าว ... ถ้าเช่นนั้น จะงอมืองอเท้า
ให้มันเป็นไปตามวิบากกรรม อะไรนั่นหรือ?
ไม่เชื่อ... ฉันเชื่อว่า “วิบากฟ้า ไม่สู้ ข้าฯ ลิขิต”
โน่น... ออกแนวเพลง “เย้ยฟ้าท้าดิน” ไปเลย

แต่สำหรับ ผู้ที่ศึกษา พุทธธรรม โดยเฉพาะ
เรื่อง ปฏิจจสมุปปาท หรือหลัก อิทปฺปจฺจยตา
จะเข้าใจวลีที่ว่า “อดีตเหตุ – ปัจจุบันผล” และ
ปัจจุบันเหตุ – อนาคตผล” ซึ่งจะอธิบายได้ดี

คือ “วิบาก” เป็นผลของทั้ง กุศล และอกุศล
ของการกระทำ ที่เราได้ทำไว้

(ตรงนี้ สำหรับผู้ที่ไม่ศรัทธา เชื่อ พุทธศาสนา
 ไม่เชื่อเรื่อง reincarnation การเวียนเกิด
 ก็อาจเอาความรู้ไปเฉยๆ นะครับ ไม่ต้องแย้ง
 เพราะนี่เป็นศรัทธา ความเชื่อของ “ชาวพุทธ”)

เมื่อทำกรรมดี แล้วกุศลวิบากตอบสนอง เช่น
ทำทานไว้มาก เกิดมาใหม่ร่ำรวย หรือ
ฆ่าสัตว์ไว้มาก เกิดมาเป็นหมู วัว ควาย
ให้เขาเชือด ให้เขาทารุณหลายภพชาติ
ตามจำนวนสัตว์ ที่เขาผูกเวรไว้ ก็แล้วแต่

อันนี้แหละครับ “อดีตเหตุ – ปัจจุบันผล”

ครั้นเมื่อได้ เกิดในภพใหม่
มาเสวยผลวิบาก ของ กรรมเก่าแล้ว
เช่น รวยแล้ว แล้วหยุดการทำดีต่อไป
แต่ไปเที่ยวข่มเหงผู้ที่ด้อยกว่า

หรือเดิมฆ่าสัตว์ มาเป็นสัตว์ให้คนอื่นฆ่า
เห็นเพื่อนถูกฆ่า เกิดปลงสังเวช นึกขึ้นมา
ไม่อยากจองเวร ต่อกันไปอีกแล้ว
ท่านว่า “แม้เพียงช่วงเวลาเท่าช้างกระดิกหู”
ก็เป็นกุศลจิต ส่งผลให้ไปเกิดในที่ดีได้

อันนี้ ก็เป็น “ปัจจุบันเหตุ – อนาคตผล”

มิใช่เรื่องต้อง รอใครลิขิต ก็ลิขิตเองนั่นแหละครับ
ส่วนจะ “ลิขิต” ได้ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร
ก็เป็นเรื่อง พิจารณา ส่วนตัว ไม่มีใครก้าวล่วง

ขอจบด้วยบาลี ...
อตฺตนาว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ
อตฺตนา อกตํ ปาปํ อตฺตนาว วิสุชฺฌติ
สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ   นาญฺโญ อญฺญํ วิโส ธเย

บาปที่ทำด้วยตนเองแล้ว ย่อมเศร้าหมองเอง
บาปที่ตนมิได้ทำแล้ว ตนเองย่อมบริสุทธิ์
ความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ เป็นเรื่องเฉพาะตน
ใครก็ทำให้บริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ แก่ตน ไม่ได้


ขอความเจริญในพุทธธรรม จงประสบแก่ทุกท่าน