วันเสาร์, มิถุนายน 14, 2557

วันแรก

เปิด blog วันแรก ...
ขอเริ่มที่ความเข้าใจของเราต่อ พุทธธรรม ก่อนเลย
ก็เพราะ ...

ได้ยินหลายครั้งเรื่องที่ว่า พุทธศาสนา เป็น วิทยาศาสตร์
กลับเห็นว่าประโยคนี้ ผู้กล่าวคงเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือไม่
พุทธธรรม ก็คือ พุทธธรรม วิทยาศาสตร์ ก็ส่วน วิทยาศาสตร์
มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันนะ ?

การพูดในเชิงนี้ เห็นว่า เป็นการ “กด” พุทธธรรม
ราวกับว่า ถ้าไม่ “อ้าง” ว่าพุทธศาสนา เป็นวิทยาศาสตร์แล้ว
มันจะไม่เป็นที่น่าเลื่อมใส น่าศรัทธา อย่างนั้นหรือ?

วิทยาศาสตร์ มันเป็นเรื่อง วัตถุนิยม (materialism) ล้วนๆ
มันมีแต่เพียงเรื่อง โลกียะ (ทางโลก)

พุทธธรรม ก็กล่าวถึง โลกียะ แต่เพียงเพื่อใช้เป็นบาทวิถี
เพื่อให้เดินไปได้ถึง โลกุตตร (อุตตร, อุดร – เหนือ) คือ พ้นโลก
พ้นจากการเวียนเกิด ในสังสารวัฏฏ์ หรือ ใน วัฏฏทุกข์

เออ...ถ้าพูดว่า วิทยาศาสตร์ นี่
มันเกิดมาต้านแนวคิดปรัชญาเชิง จิตนิยม นี่ ก็ว่าไปอย่าง 
เพราะวิทยาศาสตร์ มันเป็นปรัชญาเชิงประจักษ์ 
แนว materialism คือวัตถุนิยม
(วัตถุนิยม คำนี้ คนก็ใช้สับสนกับคำว่า “นิยมวัตถุ” ซึ่งเป็นเรื่อง
วัฒนธรรมฟุ้งเฟ้อของสังคม ที่มีความต้องการเกินความพอดี
ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ ปรัชญาวัตถุนิยมเลยสักนิด)

ถ้าจะให้ถูก ...
ควรเป็นว่า พุทธธรรม นี้ เป็นยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์
มิใช่เพราะมีอคติด้วยสนับสนุนพุทธธรรม
หรือต้องการ หมิ่นแคลน วิทยาศาสตร์
แต่ที่ว่าเป็นยิ่งกว่า ก็เพราะพุทธรรม...
อกาลิโก ... ไม่ถูกกำหนดด้วยกาล (ไม่มียุคสมัย)
เอหิปสฺสิโก ... พร้อมให้มาพิสูจน์ได้

มีวิชาการสาขาใดหรือ ที่กล่าวถึง “ปรมัตถ์ธรรม” ได้อย่างพุทธธรรม
มีคัมภีร์เล่มใด ตำราใด ที่จะพูดถึง จิต เจตสิก รูป นิพพาน ซึ่งเป็น
เนื้อธรรมแท้ๆ เทียบกับ บัญญัติ คือ สมมติธรรมทั้งหลาย ในทางโลก

การที่พระพุทธองค์ ผู้มีสัพพัญญุตาญาณ
อธิบายให้เห็น การกำเนิดชีวิตในครรภ์สัตว์ (ชลาพุชชะ)
เริ่มตั้งแต่ กลละ – อัมพุชชะ – เปสิ – ฆนะ – ปัญจสาขา
วิวัฒนาการเติบใหญ่ ในครรภ์มารดา
อธิบายเป็นรายละเอียด
ทั้งส่วน รูป คือกายมนุษย์
ทั้งส่วน นาม คือวิญญาณ และสังขาร (เจตสิก) ทั้งหลาย
นี่มีมากว่า ๒๖๐๐ ปี แล้วนะ
ตอนนั้น วิทยาศาสตร์ ยังเป็นเรื่องของการ “เล่นแร่แปรธาตุ” อยู่เลย

หากกลัวว่า ผู้คนจะไม่เลือมใส ศรัทธา ในพุทธศาสนา
ด้วยเหตุว่า ไม่อิงแอบกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ ล่ะก็
ต้องบอกว่า ปล่อยไปเถอะ ปล่อยวางเถอะ
ศรัทธาที่ถูก ที่จะเกิดขึ้น มิใช่ว่า ควรจะมาจากการศึกษา
เรียนรู้ให้ถ่องแท้ในหลักการนั้นหรอกหรือ ?

หากบอกว่า พุทธธรรม น่าเบื่อ ภาษาธรรม น่าเบื่อ
อ่านทีไร ง่วงทุกที ก็ต้องฝืน ต้องค่อยๆ ศึกษา
แล้วค่อยๆ ปฏิบัติ  แต่ ถ้ายังง่วง ยังไม่อยากฝืน
จะเป็นไรไปล่ะ เชิญนั่งนอนตามสะดวก ตามความต้องการ
เมื่อขาดศรัทธา ปลุกอย่างไร ศรัทธาก็ไม่เกิด

จึงขอฝาก พระคาถาใน ธรรมบท ห้วข้อ ๓๔๑
ถอดความโดย อ.เสถียรพงศ์ วรรณปก ... ว่า
... สัตว์ทั้งหลาย มีแต่โสมนัส ชุ่มไปด้วยรัก เสน่หา
   ซาบซ่านอยู่ในกามอารมณ์ทั้งปวง แสวงแต่สุขหรรษา
   ย่อมเกิด ย่อมแก่ อยู่ร่ำไป ...

ไม่มีความคิดเห็น: