“อย่าไปมองในบาตรท่านอื่น”
เป็นคำตำหนิจากพระอุปัชฌาย์ผู้มีพระคุณมาก
ท่านสอนเตือนให้รู้จักสำรวมเฉพาะตน
ตอนแรกก็ไม่ได้เข้าใจลึกซึ้ง
คิดไปเฉพาะเรื่องของภัตตาหารที่ได้รับบิณฑบาตมา
เมื่อได้มาหวนคิดใหม่ ก็เข้าใจอะไรมากขึ้น
สมัยบวช บิณฑบาต ที่ได้รับจากญาติโยม
ล้วนเป็นอาหารที่ชาวบ้านตั้งใจทำถวาย
เพราะเขตที่ไปบวชนั้นไม่ได้มีตลาดร้านรวง
ที่ชาวบ้านจะซื้อ “ห่อ” หรือ “ถุง” ถวายได้
จึงล้วนมาจากความตั้งใจทำถวายด้วยมือตนทั้งสิ้น
แน่นอน ย่อมมีความประณีต และรสชาติ ที่แตกต่าง
มีวัตถุดิบง่ายๆ ที่เก็บได้ในละแวกบ้าน และที่ซื้อหามา
สายของการเดินบิณฑบาต ก็มีบ้านญาติโยมที่ต่างฐานะ
จึงมักเกิดการขอ “เปลี่ยนสาย” เดินบิณฑบาต ก็มี
ภัตตาหารที่รับมาได้ ก็ต้องนำมารวมกัน
กระนั้น ก็ยังมีบ้าง ที่คัดเอากับข้าวกันไว้เฉพาะตน
ที่เปิดเผยวางใส่ในจานก่อนฉันรวมก็มี แบบจงใจ
ที่เหนียมหน่อยก็ตักชิ้นที่ชอบ แล้วเอาข้าวหมกไว้ก็มี
มีหลากหลาย มีจริงๆ ซึ่งเราก็เอ่ยวาจาติติง
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่มา “อย่าไปมองในบาตรท่านอื่น”
หลวงพ่อท่านไม่ต้องสอนด้วยคำอธิบายมากมาย
ตอนนั้น เราก็คิดได้เฉพาะเรื่องภัตตาหาร
แต่ตอนนี้ ศึกษามากขึ้น เข้าใจมากขึ้น
คำสอนที่ท่านให้ มันไม่ได้เจาะจงแต่เรื่องอาหาร
แต่หมายถึง “โดยรวม” คือ อย่าไปพิจารณาเรื่องผู้อื่น
เรื่องของเราเองก็มีมากมายที่ควรพิจารณาสังวรให้มาก
อีกอย่างหนึ่ง คือ กรรมทั้งหลายที่เคยสร้างมา
ไม่ว่าดี-ชั่ว เลว-ประณีต ล้วนส่งผลเป็นวิบากทั้งสิ้น
เมื่อศึกษาเรื่อง “อเหตุกจิต” จึงเข้าใจมากขึ้นว่า
“อารมณ์” ทั้งหลายที่มากระทบ ในทุกเวลา ทุกวันนั้น
ล้วนมีมาแต่ กุสลวิปากํ และ อกุสลวิปากํ ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็น สี เสียง กลิ่น รส สัมผัส
จึงไม่ใช่ เกิดมาลอยๆ หรือด้วย เหตุบังเอิญ ...
ความ “บังเอิญ” ไม่ใช่ความเชื่อทาง พุทธศาสนา
เพราะ พระพุทธศาสนา กล่าว “ทุกสิ่ง ล้วนเกิดแต่เหตุ”
เมื่อมีปัญญา เพิ่มขึ้นจึงรู้ จึงเข้าใจ
แม้จะเลี่ยง อกุศลกรรมทั้งหลาย เพื่อกันอกุศล ที่จะมีมา
แม้พยายามสร้าง กุศลกรรมทั้งหลาย เพื่อเว้นจากทุกข์ยาก
ก็ ล้วนต้อง”กลับมา” รับวิบาก อันเป็นผลทั้งนั้น
นั่นคือ “ชาติ” คือ การเกิด ซึ่งต้องตามมาด้วย ชรา มรณะ
และระหว่างทางไปสู่มรณะ ก็เต็มไปด้วย “ทุกข์” อีก
แม้ที่ว่า ร่ำรวย สมบูรณ์พูนสุข ก็อย่าไปเข้าใจว่า ไม่ทุกข์
และที่ยากจนแสนเข็ญ พิกลพิการ ก็ใช่ว่าจะไม่มีสุขบ้าง
การเวียนเกิด เวียนตาย เวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์นี้
พระพุทธองค์ จึงสอนให้ พ้นไปเสีย
ส่วนวิธีการ แนวทาง เส้นทางไปสู่ “การพ้นไปเสีย” นั้น
พระพุทธองค์ท่านก็สอน และศิษยานุศิษย์ ก็เรียบเรียง
เป็น นิโรธคามินีปฏิปทา – แนวปฏิบัติเพื่อให้ถึง นิโรธ
เมื่อได้ศึกษา จึงพึงน้อมนำไปปฏิบัติอย่างยิ่งยวด
ส่วนที่จะปฏิบัติได้ดี ได้มาก ได้เร็ว ได้ช้า
นอกเหนือไปจากความตั้งใจแล้ว
ยังมีเรื่องของ บุญวาสนาบารมี ที่ทำไว้ครั้งก่อนด้วย
จากคำสอนหลวงพ่อ พระอุปัฌชาย์ ผู้มีพระคุณมาก
เรานึกถึงพระพุทธดำรัส ใน พระธรรมบท บทหนึ่ง
ซึ่งเป็นคติ สอนใจ เตือนใจเราเสมอว่า ...
น ปเรสํ วิโลมานิ – อย่าไปสนใจเรื่องของท่านอื่น
น ปเรสํ กตากตํ – ว่ากิจใดที่เขาทำ กิจใดที่ไม่ทำ
อตฺตนาว อเวกฺเขยฺย – พึงดูแต่เฉพาะของตนเถิด
กตานิ อกตานิ จ – กิจใดที่ทำแล้ว กิจใดยังไม่ได้ทำ
หมายความว่า ที่ทำไปแล้ว ก็ใช่ว่าจะถูกต้อง เสมอไป
พึงพิจารณาทบทวน ปรับปรุง แก้ไข
ส่วนที่ยังไม่ได้ทำ พึงทำให้สำเร็จกิจ
คือการทำให้ “พ้นไปเสีย” ...
ขอความเจริญในพระพุทธธรรม
จงบังเกิดมีแด่ท่านทั้งหลาย